
KAMU KAMU ร้านชานมยอดขาย 500 ล้าน วันนี้กำลังรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ในรอบ 14 ปี
12 พ.ย. 2025
- ผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี ของบริษัท คามุ คามุ จำกัด เจ้าของแบรนด์ชานมยอดขายอันดับต้นๆ ในไทยอย่าง KAMU KAMU
ปี 2565 รายได้ 355 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 496 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 496 ล้านบาท
จะเห็นว่ารายได้ของ KAMU KAMU นั้นยังคงเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 18%
ซึ่งเรียกได้ว่า ยังคงเติบโตได้ดี แม้ว่าตอนนี้จะมีคู่แข่ง เข้ามาในตลาดมากมายเต็มไปหมด
ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งจากประเทศจีน หรือแม้แต่กระแสของชาเขียวมัทฉะจากญี่ปุ่น
ซึ่งเรียกได้ว่า ยังคงเติบโตได้ดี แม้ว่าตอนนี้จะมีคู่แข่ง เข้ามาในตลาดมากมายเต็มไปหมด
ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งจากประเทศจีน หรือแม้แต่กระแสของชาเขียวมัทฉะจากญี่ปุ่น
แต่จุดเด่นของ KAMU KAMU ที่ทำให้ยังสามารถครองตลาดในไทย มาได้เป็นเวลาหลายปีนั่นก็คือ
1. มีสินค้าที่หลากหลาย
KAMU KAMU มีเมนูที่หลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น ชานม, ชาไทย, โกโก้, โอลด์สคูลช็อกโก, มัทฉะ, เมนูชาผลไม้, กาแฟ, เมนู Signature เช่น ไดโนกับแรปเตอร์ และเมนูพิเศษที่ขายทุกๆ 2 เดือน
โดยเมนู Top 3 ที่ขายดีที่สุดของ KAMU KAMU คือ
อันดับ 1 กลุ่มชานม
อันดับ 2 กลุ่มชาไทย
อันดับ 3 กลุ่มมัทฉะ
อันดับ 2 กลุ่มชาไทย
อันดับ 3 กลุ่มมัทฉะ
2. ใช้วัตถุดิบคุณภาพ พร้อมเตรียมวัตถุดิบสดใหม่ทุกวัน ไม่ใส่วัตถุกันเสีย
ทางร้านจะเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ โดยเน้นวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ใส่วัตถุกันเสีย และมีขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน เช่น
- ทางร้านจะต้มใบชาเองทุกๆ เช้า ที่ร้านทุกสาขา
- ต้มเม็ดไข่มุกสดใหม่ทุกวัน
- ผงมัทฉะนำเข้าจากญี่ปุ่น 100%
- ใช้ผลไม้ที่สดใหม่ เนื้อผลไม้แท้ๆ
- ต้มเม็ดไข่มุกสดใหม่ทุกวัน
- ผงมัทฉะนำเข้าจากญี่ปุ่น 100%
- ใช้ผลไม้ที่สดใหม่ เนื้อผลไม้แท้ๆ
ซึ่งการใช้ของดี วัตถุดิบดี กระบวนการผลิตที่ดี กลิ่นความหอมของวัตถุดิบต่างๆ ก็จะถูกใส่ลงไปในเครื่องดื่มด้วย ซึ่ง KAMU KAMU เชื่อว่ากลิ่นที่ดีคือรสชาติที่น่าดื่มนั่นเอง
3. ราคาที่สามารถเข้าถึงได้
โดยเมนูในร้านราคาเริ่มต้นเพียง 60 บาท
โดยเมนูในร้านราคาเริ่มต้นเพียง 60 บาท
4. การปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ผู้บริโภคอยู่เสมอ
ถ้าใครที่เป็นแฟนๆ ของร้านนี้น่าจะสังเกตได้ว่า KAMU KAMU นั้น เป็นร้านที่มีการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ผู้บริโภคอยู่เสมอ คือไม่ว่าจะมีกระแสความนิยมอะไร ก็จะจับเทรนด์มาพัฒนาเป็นสินค้าใหม่ๆ ที่ถูกปากคนไทย ซึ่งก็เป็นจุดเด่นที่ทำอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 14 ปี แล้ว
ที่น่าสนใจคือตอนนี้ ทาง KAMU KAMU นั้นกำลังเตรียมรีแบรนด์ครั้งใหญ่
โดยการรีแบรนด์ครั้งนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ 3 อย่างคือ
โดยการรีแบรนด์ครั้งนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ 3 อย่างคือ
1. พบกับ Flagship Store สร้างประสบการณ์สุดพิเศษ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
โดยสาขา Flagship นี้จะมีดีไซน์ที่เรียบหรู โดยในส่วนของสาขา Central World นั้นจะมีเมนูพิเศษที่มีเฉพาะที่นี่เท่านั้น เช่น เมนูไอศกรีม Merchandise และ เบเกอรีที่หลากหลาย
ส่วนอีกหนึ่งสาขาคือ สินธร ทาวเวอร์ ซึ่งร้านนี้จะเน้นไปที่เมนูกาแฟและมัทฉะ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มออฟฟิศ เน้นการตกแต่งที่เรียบหรูแต่ขรึม มีเมนูกาแฟที่พิเศษกว่าสาขาอื่นๆ แต่ยังคง Concept ราคาที่จับต้องได้
นอกจากการปรับหน้าร้าน รวมถึงการทำ Flagship Store ใหม่แล้ว ยังมีการทำ Packaging ที่ดูสดใส ทันสมัยมากขึ้น เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าใหม่
2. งัดกลยุทธ์ 10 เมนูใหม่มัดใจลูกค้า
โดยทางแบรนด์บอกว่าได้ยกเครื่องเมนูใหม่กว่า 10 เมนู ที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยใช้เวลาพัฒนานานกว่า 1 ปี
ซึ่งจะใช้วัตถุดิบคัดพิเศษส่งตรงจากญี่ปุ่น เอามาสร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มที่ดื่มแล้วหอมหวาน ไม่มีการแต่งกลิ่น
โดยมีเมนูไฮไลต์ ได้แก่
- Flora Tea หรือชาดอกไม้ที่เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ทั้งชาคามิเลีย และออสมันตัส (ชาหอมหมื่นลี้)
- มัทฉะชาโดะ เมนูมัทฉะชั้นเลเยอร์ ท็อปด้วยครีมชีสหอมมัน
- Chizu Brûlée Milk Tea เป็นเมนูที่หอมกลิ่นครีมชีส สูตรพิเศษ เบิร์นไฟ กลมกล่อม
- มัทฉะชาโดะ เมนูมัทฉะชั้นเลเยอร์ ท็อปด้วยครีมชีสหอมมัน
- Chizu Brûlée Milk Tea เป็นเมนูที่หอมกลิ่นครีมชีส สูตรพิเศษ เบิร์นไฟ กลมกล่อม
3. อัปเกรดความอร่อยด้วยท็อปปิ้งสุดพิเศษ
ถ้าพูดถึง KAMU KAMU หลายคนอาจจะนึกถึงท็อปปิ้งที่มีความหลากหลาย ซึ่งตอนนี้กำลังเตรียมออกเมนูท็อปปิ้งตัวใหม่ อย่าง วาราบิ โมจิ (Warabi Mochi) ด้วยการผสมผสานของ วาราบิ และโมจิ ทำสดใหม่ทุกวัน ได้ทั้งความนุ่มหนึบ เคี้ยวเพลินอร่อยลงตัวเมื่อทานคู่กับเครื่องดื่ม
แล้วถ้าถามว่าการรีแบรนด์ครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างไร ก็ต้องบอกว่า ในเวลานี้ เทรนด์ของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทรนด์ในการบริโภคชาที่เปลี่ยนแปลงไป และมีแบรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
ทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์จากประเทศจีน ดังนั้นการรีแบรนด์ในครั้งนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อที่จะทำให้แบรนด์มีความตื่นเต้น และเตรียมความพร้อมสู่การเป็นแบรนด์ชานมอันดับ 1 ของไทย
รวมถึงการรักษาฐานลูกค้าเก่า และเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ อีกทั้งยังอยากส่งมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ดีขึ้นอีกไปเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของ KAMU KAMU แบรนด์ชานมยอดขาย 500 ล้านบาท ที่อยู่มานานกว่า 14 ปี นั่นเอง..