คุยกับเจ้าของ Yvis เริ่มธุรกิจด้วยเงิน 1,000 บาท สู่แบรนด์จิวเวลรีไทย ในห้างชั้นนำ

คุยกับเจ้าของ Yvis เริ่มธุรกิจด้วยเงิน 1,000 บาท สู่แบรนด์จิวเวลรีไทย ในห้างชั้นนำ

20 ธ.ค. 2025
-แบรนด์เครื่องประดับคนไทย “Yvis” (อ่านว่า ยะ-วิส) คือหนึ่งในกรณีศึกษาของการเริ่มทำธุรกิจในยุคนี้ ที่น่าสนใจมาก ๆ 
เพราะนี่คือแบรนด์ที่เกิดจากเงินทุนเพียง 1,000 บาท จากการซื้อมาขายไป จนปัจจุบันกลายเป็นแบรนด์ที่มี 4 สาขาในห้างชั้นนำ สยามสแควร์ สยามเซ็นเตอร์ ไอคอนสยาม และเซ็นทรัลลาดพร้าว 
วันนี้ BrandCase มีโอกาสได้คุยกับ คุณพริม-ยวิษฐา กรินชัย ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Yvis 
เกี่ยวกับเส้นทางการสร้างแบรนด์เครื่องประดับ ตั้งแต่การหาช่องว่างในตลาด การวาง Brand Position ให้ชัด ไปจนถึงการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์สู่นาฬิกาและแว่นตา
ในบทความนี้มีกลยุทธ์การทำธุรกิจที่น่าสนใจมาก ๆ โดยเฉพาะการสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีคู่แข่งเยอะ และกลยุทธ์ธุรกิจต่าง ๆ เซฟเก็บกันไว้ได้เลย..
- Yvis เริ่มต้นจากปัญหาง่าย ๆ ของสาว ๆ ทั่วไป คือ เครื่องประดับที่ชอบ มักมีราคาสูงเกินกว่าจะซื้อเองได้ ในขณะที่ตลาดเครื่องประดับในช่วงนั้น ยังไม่มีของที่สวยถูกใจในราคาที่เข้าถึงได้
คุณพริมเล่าว่า “การเริ่มต้นแบรนด์ใช้ทุนเพียง 1,000 บาท ไปเลือกเครื่องประดับที่ตลาดขายส่งมา 4-5 แบบ นำมาลองใส่เองเพื่อเช็กคุณภาพ ก่อนจะถ่ายรูปด้วยมือถือ ใช้โคมไฟตั้งโต๊ะหัวเตียงเป็นแสง และใช้ตัวเองเป็นนางแบบ จากนั้นโพสต์ขายลง Instagram”
ซึ่งคุณพริม ทำแบบนี้เป็นงานพาร์ตไทม์มาประมาณ 2 ปี โดยทำด้วยแพสชันและความสนุกกับการเลือกของสวยมาส่งต่อ  
หลังจากเรียนจบและทำงานประจำไปด้วยอยู่ 6-7 เดือน คุณพริมก็ตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจนี้แบบ Full Time เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจนี้มีศักยภาพที่จะสเกลต่อ
ปัจจุบัน Yvis มี 4 สาขา ที่สยามสแควร์, สยามเซ็นเตอร์, ไอคอนสยาม และเซ็นทรัลลาดพร้าว พร้อมแผนขยายสาขาออฟไลน์มากขึ้นในปีหน้า
แล้ว Yvis มีวิธีสร้างแบรนด์อย่างไร ? BrandCase สรุปมาเป็น 3 กลยุทธ์
1. มองเห็นช่องว่างในตลาด และสร้างความแตกต่าง ด้วยดิไซน์ในเวอร์ชันของตัวเอง
คุณพริมบอกว่า ช่องว่างในตลาดเครื่องประดับ ที่ Yvis มองเห็นในตอนนั้นคือ “สินค้าที่ราคาเข้าถึงได้ แต่มี Branding ดี”
“Yvis ตั้งใจพยายามทำ Branding ให้ดูแพง แต่ตั้งราคาให้ลูกค้าจับต้องได้ง่าย ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ค่อยมีแบรนด์เครื่องประดับ (Jewelry Brand) ในลักษณะนี้ บวกกับช่วงนั้นส่วนใหญ่คนสนใจธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้ามากกว่า” 
ทีนี้เมื่อดิไซน์ + Branding + ราคา ไปในทางเดียวกัน Yvis จึงมี Position หรือตำแหน่งในตลาดที่เฉพาะตัวมาก คือ 
- น่ารัก แต่เรียบง่าย และไม่เท่จนเกินไป
- มีดีเทลเล็ก ๆ ที่เป็นคาแรกเตอร์ของแบรนด์
ซึ่งเบื้องหลังกว่าจะมาเป็น DNA ของแบรนด์ Yvis ได้แบบนี้ คุณพริมเล่าให้ฟังว่า แบรนด์ Yvis ก็เคยมีช่วงหลงทางเหมือนกัน
“ช่วงที่เรียกว่า ‘หลงทาง’ คือการที่ลองทำดิไซน์ที่คนอื่นแนะนำ เช่น แบบเรียบ ๆ หรือแบบใหญ่ ๆ 
ซึ่งสุดท้ายแล้ว พอทำออกมาคนก็มองไม่ออกว่าเป็นของ Yvis
ทำให้รู้ว่านั่นคือการหลงทาง พอรู้ตัว Yvis จึงพยายามทำอะไรที่คนเห็นแล้วรู้ทันทีว่าเป็นของ Yvis โดยใช้ข้อมูลจากยอดขายหลังบ้าน และความเห็นของทีมงานที่ชอบดิไซน์นั้น ๆ มาประกอบการตัดสินใจ” 
ซึ่งบทเรียนจากการหลงทางในครั้งนั้นก็ทำให้แบรนด์เรียนรู้ว่า “แบรนด์จะโตได้เร็วขึ้นหลายเท่า เมื่อมันชัดเจนว่า เราเป็นใคร และไม่ใช่อะไร”
2. ลงทุนกับแพ็กเกจจิง และใช้การ Collab สร้างความแตกต่างและการจดจำ
นอกจากตัวสินค้าจิวเวลรีแล้ว อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ แพ็กเกจจิง  
“พริมออกแบบแพ็กเกจจิงเองตั้งแต่ยุคซื้อมาขายไป และมันกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่าย 
แพ็กเกจจิงนี้ช่วยให้ทุกคนดูออกว่าเป็นของ Yvis และเมื่อรวมกับดิไซน์จิวเวลรีที่ชัดเจน ก็ช่วยสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ได้มากขึ้น”

เพราะในตลาดที่สินค้าเริ่มคล้ายกัน การสร้าง Visual Identity หรือภาพลักษณ์ที่มองเห็นและจับต้องได้ จะช่วยให้
- ลูกค้าเห็นกล่องแล้วจำแบรนด์ได้
- เพิ่มมูลค่าการรับรู้ของสินค้า (Perceived Value) 
- ทำให้การถ่าย User-Generated Content หรือเนื้อหาที่ผู้ใช้งานสร้างขึ้นเอง ดูสวยขึ้นโดยธรรมชาติ
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่แบรนด์ Yvis ใช้เพื่อให้ลูกค้าจำแบรนด์ได้และแบรนด์ไม่หายไปจากโซเชียลของลูกค้า คือการ Collaboration หรือร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์
โดยในการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ แบรนด์จะดูคนที่มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน แต่ยังเข้ากับแบรนด์ Yvis ได้ เช่น
- คุณพราว โอลีฟ แฟชั่นอินฟลูเอนเซอร์สาวหวานที่ดูโตขึ้นมาหน่อย
- คุณพลอย หอวัง นักแสดงและพิธีกรสาวซ่าแต่ยังมีความน่ารัก
- คุณบริ๊งค์ Brinkkty อินฟลูเอนเซอร์สาวหวานน่ารัก
ความร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้ ไม่ได้ทำเพื่อยอดขายเท่านั้น
แต่ยังช่วยให้แบรนด์ Yvis ดูสนุกขึ้น เพิ่มการเข้าถึง (Exposure) และขยายฐานลูกค้าใหม่
นอกจากนี้ยังได้ขยายคาแรกเตอร์ใหม่ ๆ ที่ Yvis อาจไม่ทำเองในคอลเลกชันหลัก 
เช่น ดิไซน์ลวดหนามกับ คุณพลอย หอวัง ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งไลน์ขายดีของแบรนด์
ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกสนุกในการรอติดตามสินค้าใหม่ ๆ 
รวมถึงฝั่งทีมงานของแบรนด์เองก็สนุกกับการทำงานที่ไม่จำเจด้วย
ถ้าถามถึงเรื่องของการตามเทรนด์ คุณพริมบอกว่า “Yvis ไม่ได้ดูเทรนด์เยอะนัก เพราะมองว่าเทรนด์ของจิวเวลรีเปลี่ยนช้ากว่าแฟชั่นเสื้อผ้า 
ดังนั้นแบรนด์จะเน้นการเป็นตัวเองไปเรื่อย ๆ หากมีเทรนด์อะไรที่เด่นขึ้นมาจริง ๆ เช่น มุก ก็จะค่อย ๆ ขยับทำตาม แต่ก็จะยังคงความเป็น Yvis ไว้และไม่ได้ตามเทรนด์ทั้งหมด”
3. บริหารต้นทุนแบบ “กำลังดี” และขยายสินค้าจาก Data หลังบ้าน
วิธีการของ Yvis คือ ไม่ว่าจะคอลเลกชันเล็กหรือคอลเลกชัน Collaboration 
ในขั้นตอนการสั่งผลิตรอบแรกจะสั่งมาในจำนวนที่ กำลังดี เพื่อดูฟีดแบ็กของลูกค้า 
ต่อมาในรอบที่สองแบรนด์จะเลือกสั่งเฉพาะดิไซน์ที่มีฟีดแบ็กดี 
อันไหนฟีดแบ็กไม่ดี ก็จะหยุดการผลิตไปเลย หรือสั่งมาน้อยลง
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ Cash Flow หรือกระแสเงินสดของบริษัท หมุนได้เรื่อย ๆ 
และเป็นการลดของเสียหรือของทิ้งของสินค้า ที่ไม่เป็นที่ต้องการไปในตัว
นอกจากนี้ การดูข้อมูลหลังบ้านยังช่วยให้แบรนด์ Yvis สามารถขยายไลน์สินค้าต่อยอดได้อีกเยอะ
ยกตัวอย่างเช่น
- นาฬิกา สินค้าที่เกิดจากการสังเกตเห็นเวลาที่คุณพริมใส่นาฬิกาคู่กับกำไล Yvis แล้วถ่ายรูปลงโซเชียล ก็จะมีลูกค้าถามถึงนาฬิกาตลอด 
แต่เนื่องจากนาฬิกาที่คุณพริมใส่มักมีราคาแพง  พอสำรวจตลาดก็พบว่า “นาฬิกาผู้หญิงที่ดิไซน์น่ารัก ราคาจับต้องได้” ยังไม่ค่อยมี
จึงพัฒนาเองทั้งหมด ใช้เวลาพัฒนาเป็นปี และเป็นเรื่องยากมาก เพราะต้องออกแบบเองและเน้นคุณภาพตามที่ต้องการ ต้องขึ้นโมเดล ปรับตัวเรือน ปรับตัวสายข้อมือให้สวยงาม
สุดท้ายผลลัพธ์คือ นาฬิกาได้กลายเป็นสินค้าขายดีที่สุดของแบรนด์ในปัจจุบัน
- แว่นตา สินค้าที่เริ่มจากการ Collab กับคุณพลอย ที่ทำให้เห็นอินไซต์ใหม่ของลูกค้า ว่าลูกค้าไม่ได้ชอบแค่จิวเวลรี แต่ยังสนใจ Accessory อย่างแว่นตาด้วย 
จึงพัฒนาต่อมาเป็นแว่นตาของแบรนด์ตัวเองในชื่อ “YVIS Shades” สินค้าขายดีที่ติด Top 3 ในปัจจุบัน
เรื่องราวของ Yvis ทำให้เราได้เห็นว่า บางครั้งการสร้างแบรนด์ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยเงินทุนมหาศาล แต่เริ่มจากการมองเห็นช่องว่างในตลาดและความมีแพสชัน
เหมือนอย่างที่คุณพริมได้ฝากถึงคนทำแบรนด์ไว้ว่า
“อย่าอยู่ใน Comfort Zone
เริ่มลงมือทำ
เป็นตัวเองให้ชัด
และจริงใจกับลูกค้าเสมอ”
เพราะสุดท้ายแล้ว ในตลาดจิวเวลรีที่แข่งขันสูง 
“ความจริงใจ + ความชัดเจนของแบรนด์” 
คือสิ่งที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความตั้งใจและอยากอยู่กับแบรนด์ไปเรื่อย ๆ
นี่คือเรื่องราวของ Yvis แบรนด์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การมีจุดยืนที่ชัดเจนและความจริงใจกับลูกค้า คือกุญแจสำคัญในการสร้างแบรนด์ ที่ทำให้วันนี้ลูกค้าจดจำได้..
© 2025 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.