โมเดลธุรกิจ MR. D.I.Y. ในไทย ครึ่งปีกำไร 1,100 ล้าน ของใช้ในบ้าน ขายดีสุด ยอดบิลเฉลี่ย 165.9 บาท

รู้หรือไม่ บริษัทเจ้าของร้าน MR. D.I.Y. ในไทย มีรายได้ปีละหลัก หมื่นล้านบาท กำไรปีละหลัก พันล้านบาท และแค่ครึ่งแรกปีนี้ ก็ทำรายได้ไป 9,000 กว่าล้านบาทแล้ว

ผลประกอบการของ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เจ้าของ MR. D.I.Y. ในไทย
ปี 2565 รายได้ 9,941 ล้านบาท กำไร 1,051 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 12,832 ล้านบาท กำไร 1,381 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 16,214 ล้านบาท กำไร 1,780 ล้านบาท
ช่วง 6 เดือนแรก ปี 2568 รายได้ 9,471 ล้านบาท กำไร 1,176 ล้านบาท

ในคำอธิบายงบการเงินของบริษัทนี้ ยังมีข้อมูลน่าสนใจอีกเยอะ
เช่น ของใช้ในบ้าน ขายดีสุด และ ของเล่น คือสินค้าที่มีอัตรากำไรดีสุด ในร้าน MR. D.I.Y.
และตอนนี้มี 1,027 สาขา ในไทย

โมเดลธุรกิจของบริษัทเจ้าของ MR. D.I.Y. ในไทย เป็นอย่างไร ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ

MR. D.I.Y. เริ่มต้นที่ประเทศมาเลเซียในปี 2548 โดยมี คุณ Tan Yu Yeh เป็นผู้ก่อตั้ง
เขาตั้งใจทำร้าน One Stop Service ที่เป็นศูนย์รวมของจิปาถะและของใช้ในบ้าน

ซึ่งต่อมา MR. D.I.Y. ก็ได้รับการตอบรับดี จึงเริ่มขยายสาขาไปหลายเมืองในมาเลเซีย จากนั้นก็ขยายสาขาไปยังต่างประเทศ โดยเปิดสาขาแรกในประเทศไทย เมื่อปี 2559

หลังจากผ่านมา 9 ปีจากวันนั้น ตอนนี้ MR. D.I.Y. ประเทศไทย กำลัง IPO เข้าตลาดหุ้นไทย และเริ่มซื้อขายวันแรก ในวันพุธที่ 5 พฤศจิกายน

ผลประกอบการของ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เจ้าของ MR. D.I.Y. ในไทย

ปี 2565 รายได้ 9,941 ล้านบาท กำไร 1,051 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 12,832 ล้านบาท กำไร 1,381 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 16,214 ล้านบาท กำไร 1,780 ล้านบาท
ช่วง 6 เดือนแรก ปี 2568 รายได้ 9,471 ล้านบาท กำไร 1,176 ล้านบาท

ทีนี้มาดูโมเดลรายได้จากการขาย ของร้าน MR. D.I.Y. ในไทย
แยกตามหมวดสินค้า ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้

เครื่องใช้ในครัวเรือน และอุปกรณ์ตกแต่ง = 3,491 ล้านบาทฮาร์ดแวร์ = 1,857 ล้านบาทเครื่องใช้ไฟฟ้า = 857 ล้านบาทเครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา = 785 ล้านบาทของเล่น = 550 ล้านบาทหมวดอื่น ๆ = 2,137 ล้านบาท

จะเห็นว่า เครื่องใช้ในครัวเรือน และอุปกรณ์ตกแต่ง คือหมวดสินค้าที่ขายดีสุด

โดยมีมูลค่าเฉลี่ยต่อธุรกรรม หรือก็คือยอดซื้อเฉลี่ยต่อบิล = 165.9 บาท

อีกความน่าสนใจของงบ MR. D.I.Y. คือบริษัทแจกแจงต้นทุนของสินค้าแต่ละหมวด ให้ดูด้วย
คือเห็นเลยว่าสินค้าหมวดไหนขายแล้วได้กำไรดี

โดย Top 5 หมวดสินค้าหน้าร้าน ที่กำไรดีสุดของบริษัท

ของเล่น อัตรากำไรขั้นต้น = 60.5%เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา อัตรากำไรขั้นต้น = 52.8%ฮาร์ดแวร์ อัตรากำไรขั้นต้น = 50.4%เครื่องใช้ในครัวเรือน และอุปกรณ์ตกแต่ง อัตรากำไรขั้นต้น = 50.3%เครื่องใช้ไฟฟ้า อัตรากำไรขั้นต้น = 45.6%

นอกจากสินค้าที่หลากหลายแล้ว “ทำเลร้าน” ก็เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญของ MR. D.I.Y.

โดยสามารถแบ่งรายได้ ตามช่องทางการขายได้เป็น

จากสาขานอกศูนย์การค้า (Standalone) 67%จากสาขาในศูนย์การค้า (Retail Mall-Based) 32%จากเว็บไซต์บริษัท / แพลตฟอร์ม E-Commerce และอื่น ๆ 1%

จะเห็นว่า MR. D.I.Y. ยังเน้นการเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศผ่านหน้าร้าน ด้วยสัดส่วนรายได้กว่า 99% จากช่องทางนี้ ซึ่งทำเลที่ตั้งก็มีทั้งในตัวเมือง และนอกตัวเมือง เช่น พื้นที่ชุมชน, ศูนย์การค้า, คอมมิวนิตีมอลล์, ย่านธุรกิจ

โดยหากเรามาดูจำนวนสาขาของบริษัท ก็จะพบว่า
ณ สิ้นปี 2565 = 557 สาขา
ณ สิ้นปี 2566 = 741 สาขา
ณ สิ้นปี 2567 = 932 สาขา
ณ 30 มิถุนายน 2568 = 1,027 สาขา (หลัก ๆ 72% เป็นสาขานอกศูนย์การค้า)

จะเห็นว่าจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่ต่ำกว่าปีละ 180 สาขา

ซึ่งอนาคตข้างหน้า บริษัทก็ตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 200 สาขา ต่อเนื่องจนถึงปี 2570

References
-https://www.longtunman.com/29506
-https://market.sec.or.th/public/ipos/IPOSEQ01.aspx?TransID=646422
-https://weblink.set.or.th/dat/news/202511/2018NWS041120250845094410T.pdf?_gl=1kvqsia_gcl_auMTIxNTYyODgwNi4xNzYxMDA1ODk4_gaMTMwMjc3MzA5My4xNzYxMDA1OTAw_ga_ET2H60H2CB*czE3NjIyMTk3MjAkbzEyJGcxJHQxNzYyMjIwNzgzJGo0MyRsMCRoMA