ถอดรหัส Big One Group จากขนมถุงหลักสิบ สู่ธุรกิจ 1,000 ล้าน ด้วยสูตรลับ ที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

ถอดรหัส Big One Group จากขนมถุงหลักสิบ สู่ธุรกิจ 1,000 ล้าน ด้วยสูตรลับ ที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

30 ก.ย. 2025
นี่คือเรื่องราวของ Big One Group แบรนด์ที่เริ่มต้นจาก “ความจริงใจ” ของผู้ก่อตั้งรุ่นที่ 1 ผสมเข้ากับ “การตลาดเชิงสร้างสรรค์”
สิ่งที่เขาสร้างจึงไม่ใช่แค่ธุรกิจขายขนม แต่คือแบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพัน และจดจำได้ในแบบที่แตกต่าง
วันนี้ Big One Group เดินทางมาถึงรุ่นที่ 2 แล้ว ภายใต้การนำของ คุณหมิว-ปวิตรา ทัศวิชัย ทายาทผู้สืบต่อความฝันของพ่อ
สิ่งที่เธอสานต่อไม่ใช่แค่ตัวเลขยอดขาย หรือการออกโปรดักต์ใหม่ ๆ แต่คือการรักษาแก่นปรัชญาของแบรนด์ และสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้ทั้งทีมก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน
เรื่องราวนี้น่าสนใจอย่างไร ? และอะไรคือสูตรลับที่ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
คุณหมิวเล่าว่า จุดเริ่มต้นของ Big One Group เกิดจากคุณพ่อ อดีตเซลส์ที่เติบโตมาอย่างขัดสน แต่มีความฝันอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีกว่าที่ตัวเองเคยเป็นมา
เขาจึงลองเริ่มธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง ทำขนมใส่ถุง พร้อมของเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ แถมไปด้วย จุดขายเรียบง่าย แต่ทำให้เด็ก ๆ ที่ซื้อขนมของ Big One Group ได้ทั้งความอร่อย และได้ความสนุกกลับไปด้วยในถุงเดียว
และเพราะผ่านประสบการณ์ในการเป็นเซลส์มาก่อน ทำให้คุณพ่อรู้ว่าตลาดต้องการอะไร และเข้าใจดีว่าลูกค้าชอบแบบไหน เขาเลยกล้าที่จะลงทุนซื้อเครื่องจักร ผลิตสินค้าของตัวเอง จนเกิดเป็น “Bigga” ข้าวโพดอบกรอบที่กลายเป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่กล้าซื้อคาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์มาทำเป็นของเล่นพรีเมียม สร้างทั้งความแตกต่าง และความน่าเชื่อถือให้แบรนด์
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Big One Group คือ วันที่ Bandai Namco บริษัทของเล่นสัญชาติญี่ปุ่น ติดต่อคุณพ่อมาให้ไปนำเสนองานที่ฮ่องกง
เพราะ Bandai Namco ต้องการบุกตลาดในไทย และเห็นว่า Big One Group เชี่ยวชาญเรื่องตลาดขนมสำหรับเด็ก และการทำสินค้าลิขสิทธิ์
จนสุดท้าย ทั้ง 2 บริษัทก็จับมือกัน และทำให้ Big One Group กลายเป็นเจ้าแรกที่นำเข้ากาชาปองมาขายในไทย และตอนนี้ยังเป็นเจ้าของ GBO - Gashapon Bandai Official Shop ช็อปกาชาปองที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้คุณหมิวจดจำคุณพ่อได้มากที่สุด ไม่ใช่แค่การสร้างธุรกิจ แต่คือ วิธีที่คุณพ่อทำงานกับผู้คน
เธอเล่าว่า คุณพ่อมักสอนผ่านการกระทำ เช่น ตอนร้านค้าของลูกค้าไฟไหม้ เซลส์จะรีบไปเก็บเงิน แต่คุณพ่อห้ามไว้ แล้วบอกว่า
“จะกล้าไปเก็บเงินเขาได้อย่างไร ? รีบไปช่วยเขาก่อน ไปถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม แล้วห้ามพูดเรื่องเงินเด็ดขาด”
จากนั้นยังส่งอีเมลถึงพนักงานทั้งบริษัท ย้ำว่า ห้ามพูดเรื่องเงินกับลูกค้ารายนั้น ให้ช่วยเหลืออย่างเดียว เรื่องเงินเดี๋ยวลูกค้าจ่ายเองเมื่อพร้อม
นี่คือคุณพ่อในแบบที่ไม่ใช่แค่เจ้านายที่นั่งสั่งงานจากโต๊ะใหญ่ แต่เป็นหัวหน้าที่พร้อมลุยไปกับพนักงานทุกที่จริง ๆ
นอกจากนี้ เวลาเซลส์จะไปหาลูกค้า คุณพ่อก็รู้ถึงขั้นที่ว่า เส้นทางในแต่ละอำเภอ ถ้าไปถึงตรงนี้ต้องเลี้ยวไปทางไหน เจอร้านค้าไหนก่อน ต้องพูดกับใครต่อ เหมือนเขาอยู่ตรงนั้นด้วยตลอดเวลา
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า คุณพ่อใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ ที่คนส่วนใหญ่อาจมองข้าม แต่กลับเป็นสิ่งที่ช่วยให้ทีมทำงานง่ายขึ้น และมั่นใจว่าเจ้านายเข้าใจความยากลำบากของพวกเขาจริง ๆ
เพราะการใส่ใจแบบนี้เอง ทำให้พนักงานไม่เคยรู้สึกว่ากำลังทำงานให้ใคร แต่รู้สึกว่ากำลังทำงาน ร่วมกับ หัวหน้าที่พร้อมจะลงแรงไปด้วยกันเสมอ
นี่คือบทเรียนสำคัญที่คุณหมิวเก็บมาจากคุณพ่อว่าการเป็นผู้นำ ไม่ใช่การยืนอยู่ข้างหน้าแล้วสั่งให้คนอื่นวิ่งตาม แต่คือการลงไปอยู่กับทีม ใส่ใจในรายละเอียด รับรู้ปัญหา และหาทางแก้ไขไปด้วยกัน นี่เองที่กลายเป็นรากฐานของวัฒนธรรม Team Player ที่เธอนำมาสานต่อในรุ่นที่ 2
และอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่เกิดขึ้นหลังจากเธอเข้ามาบริหาร ก็คือการพาสินค้าของ Big One Group เข้าไปขายใน 7-Eleven ซึ่งถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ 
เธอลงมือเองทุกขั้นตอน ทั้งส่งอีเมล โทรศัพท์ติดต่อ ไปจนถึงยืนรอหน้าตึกฝ่ายจัดซื้ออยู่เป็นประจำ เพื่อหาโอกาสฝากตัวอย่างสินค้า ความพยายามอย่างไม่ย่อท้อนี้เอง ทำให้ในที่สุด สินค้าของ Big One Group ได้วางขายบนเชลฟ์ของ 7-Eleven และหลายผลิตภัณฑ์กลายเป็นไวรัล ขายหมดเกลี้ยงแทบทุกสาขา
แต่ถึงจะประสบความสำเร็จ คุณหมิวก็ยังไม่เคยปล่อยผ่านรายละเอียดในทุกขั้นตอนของการผลิต ตั้งแต่การเลือกวัสดุ การออกแบบสี อาร์ตเวิร์ก ไปจนถึงความทนทานของสินค้า เธอจะทดลองใช้ทุกชิ้นด้วยตัวเองเสมอ เช่น
- กระจกมือถือต้องขนาดพอดีมือ ส่องแล้วชัดเจน หน้าไม่ผิดรูป
- ถ้วยซีเรียล ต้องเป็น Food Grade Plastic ที่เบามือ ฝาต้องปิดสนิท เขย่าแล้วไม่หก สะดวกในการใช้งาน
- กิ๊บติดผม พลาสติกต้องหนา หล่นแล้วไม่พังง่าย ๆ และต้องมีกระดาษรองเพื่อการจัดเก็บที่สะดวก
นี่แหละคือการใส่ใจ ที่ทำให้ Big One Group ไม่ใช่แค่ขายสินค้า แต่สร้างประสบการณ์ที่ลูกค้ารู้สึกดีจริง ๆ จนยอมกลับมาซื้อซ้ำและบอกต่อ
อ่านมาถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่ากลยุทธ์ที่เป็นสูตรลับ ของ Big One Group ที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น นั่นคือ
1. ความสนุก (Fun)
หัวใจของ Big One Group ตั้งแต่วันแรกคือการทำให้ขนมไม่ใช่แค่ขนม แต่คือ ประสบการณ์แห่งความสุข
- แนวคิด “ขนม + ของพรีเมียม” คือการสร้างคุณค่าให้ขนมเป็นมากกว่าขนม เพราะลูกค้าไม่ได้รับแค่รสชาติ แต่รอของพรีเมียมที่ซ่อนอยู่ข้างในด้วย
- การเลือกทำงานกับลิขสิทธิ์การ์ตูนดัง ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Sanrio, Peanuts หรือ The Powerpuff Girls
- ที่สำคัญ ความสนุกของ Big One Group ไม่ได้อยู่แค่ในตัวสินค้า แต่แฝงใน Packaging ที่สดใส การตลาดที่เข้าถึงง่าย และภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร
2. การใส่ใจ (Care)
สิ่งที่ทำให้ Big One Group แตกต่างคือความใส่ใจในทุกมิติ ตั้งแต่การผลิตจนถึงการบริหาร
- ใส่ใจลูกค้า ไม่ใช่แค่ขาย แต่อยู่ข้าง ๆ ลูกค้า เช่น เรื่องราวที่คุณพ่อห้ามเซลส์ไปเก็บเงินจากร้านที่ไฟไหม้ แต่ให้ช่วยเหลือก่อน 
- ใส่ใจคุณภาพสินค้า โดยเฉพาะสินค้าพรีเมียม ที่ต้องทั้งสวยงาม ปลอดภัย และใช้งานได้จริง ถือเป็นการยกระดับมาตรฐาน จนผู้บริโภคมั่นใจในแบรนด์
- ใส่ใจทีมงานและพันธมิตร คุณพ่อทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับพนักงาน จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่รุ่น 2 สานต่อ แบรนด์จึงถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของความไว้ใจร่วมกัน
สรุปแล้ว สิ่งที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นใน Big One Group ไม่ใช่แค่กิจการ ไม่ใช่แค่สูตรขนม แต่คือการขาย “Moment แห่งความสุข” และการใส่ใจในทุกรายละเอียดของแบรนด์ ตั้งแต่ตัวสินค้า ไปจนถึงผู้คนรอบข้าง
ทำให้แบรนด์ได้ใจทั้งลูกค้า พนักงาน และพาร์ตเนอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินไม่อาจซื้อได้ แต่กลับกลายเป็นคุณค่าที่ทำให้แบรนด์ถูกจดจำ
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ Big One Group กลายเป็นมากกว่าบริษัทขนมและของเล่น 1,000 ล้าน แต่คือแบรนด์ที่อยู่ในความทรงจำของผู้บริโภคมาตลอดหลายสิบปี
© 2025 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.