กรณีศึกษา ทำไม Mazda ถึงเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ ที่ขับเคลื่อนจังหวะชีวิตของผู้คน ได้ดีที่สุด

กรณีศึกษา ทำไม Mazda ถึงเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ ที่ขับเคลื่อนจังหวะชีวิตของผู้คน ได้ดีที่สุด

22 เม.ย. 2024
Mazda x BrandCase
สำหรับคนรุ่นใหม่ 
หรือ First Jobber ที่เพิ่งเริ่มทำงาน
หากพวกเขาอยากเลือกซื้อรถยนต์สักคัน
แน่นอนว่า Mazda เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ แบรนด์แรก ๆ ของใครหลายคน
ซึ่งนอกจากตัวรถ Mazda จะมีสมรรถนะดี และมีความคุ้มค่า คุ้มราคาแล้ว เทคโนโลยีสกายแอคทีฟยังตอบสนองการใช้งานได้ดียิ่ง
Mazda เองก็ยังมีจุดเด่น คือมีดีไซน์รถที่ทันสมัย สวยงาม ที่มาจาก โคโดะ ซึ่งมีเอกลักษณ์ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และยังเป็นแบรนด์ที่ทำให้ผู้ใช้งาน มีความรู้สึกผูกพันกับรถยนต์ แถมรู้สึกสนุกทุกครั้ง ขณะนั่งอยู่หลังพวงมาลัย
แล้วแบรนด์ Mazda มีเสน่ห์อะไร ทำไมถึงสามารถสร้างความผูกพัน และขับเคลื่อนจังหวะชีวิตของผู้คน
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
จุดเริ่มต้นของ Mazda นั้น เริ่มจากเมืองฮิโรชิมา 
โดยคนกลุ่มหนึ่ง ที่ชื่นชอบในเรื่องสมรรถนะของรถยนต์ จึงได้พัฒนารถยนต์รุ่นแรกขึ้นมา นั่นคือ “Mazda GO”
ซึ่งเป็นรถยนต์คล้าย ๆ กับรถสามล้อของไทย 
คือด้านหน้าเป็นส่วนหน้าของมอเตอร์ไซค์ ส่วนด้านหลังเป็นกระบะไม่มีหลังคา
โดย Mazda ได้รับผลตอบรับดี จนสามารถไปตีตลาดในต่างประเทศอย่างประเทศจีน แล้วได้รับความนิยม หลังจากนั้นจึงเริ่มทำตลาดในประเทศไทย
ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีที่ทำตลาดในประเทศไทย
Mazda มีฐานลูกค้ากว่า 700,000 คน และมีรถที่อยู่ในระบบศูนย์บริการกว่า 400,000 คัน
สำหรับในงาน Motor Show ปี 2024 นี้ Mazda ก็ได้ใช้คอนเซปต์ 
ที่สามารถสื่อสารให้ลูกค้าสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ ด้วยคำว่า “Love of Cars”
เพื่อตอกย้ำถึงการเป็นแบรนด์รถยนต์
ที่สร้างความสุขในการขับขี่ และความรู้สึกที่ดีหลังพวงมาลัย
ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ต้องบอกว่านอกจากเรื่องสมรรถนะของตัวรถแล้ว
เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ลูกค้าเลือกซื้อรถยนต์ Mazda ก็คือ
รถยนต์ Mazda เป็นแบรนด์รถยนต์ ที่ผู้ใช้งานใช้แล้ว 
เกิด Emotion ที่มีความรู้สึกผูกพัน และมีความสุขไปกับมัน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ถือเป็น DNA ของแบรนด์ Mazda มาตั้งแต่ต้น
เพราะถ้าเราย้อนกลับไป ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 
ในช่วงที่เมืองฮิโรชิมา ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถ Mazda ถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณู
หลังจากถูกโจมตี ด้วยระเบิดปรมาณูได้เพียง 3 เดือน 
Mazda ก็สามารถฟื้นบริษัท ให้สามารถกลับมาทำธุรกิจผลิตรถมอเตอร์ไซค์ได้ 
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน
สิ่งที่ Mazda ได้ทำนี้ เรียกว่า “ฮิโรชิมา สปิริต”
ซึ่งได้กลายเป็น DNA ในการดีไซน์รถยนต์ Mazda ในเวลาต่อมา
ให้สามารถใช้งานได้ง่าย เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่าย
เท่านั้นยังไม่พอ รถยนต์ของ Mazda นั้น ยังต้อง 
สร้างความสุขในการขับขี่ และสร้างความรู้สึกที่ดีหลังพวงมาลัยด้วย
ซึ่งตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา
Mazda ก็ได้มีแคมเปญ เพื่อสื่อสารถึงแบรนด์ ที่สร้างความรู้สึกที่ดีให้กับผู้ขับขี่มาตลอด ไม่ว่าจะเป็น
Zoom-Zoom เพื่อสื่อว่า รถยนต์ได้สะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่ 
และ Mazda ก็ทำให้ผู้ขับขี่ได้รู้สึก Enjoy หรือมีความสุขในระหว่างการขับรถยนต์
โดยในช่วงนั้นก็มีรถรุ่นเรือธง นั่นคือรุ่น Mazda3 ซึ่งเป็นรุ่นที่มาพลิกโฉม Mazda 
ซึ่ง Mazda3 เอง ก็เป็นรถยนต์ที่ให้สเป็กสูงกว่าค่ายรถยนต์แบรนด์อื่น ๆ 
เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ระดับราคาเดียวกันในตลาด
- Feel The Drive ซึ่งเป็นแคมเปญที่ Mazda ได้เปิดตัวในปี 2015
ในตอนนั้น Mazda ก็ได้ปล่อยโฆษณารถยนต์ โดยที่ไม่มีรถอยู่ในฉากโฆษณา
เพื่อต้องการสื่อให้คนทั่วไปเห็นว่า Mazda ไม่ได้เน้นที่ตัวรถเพียงอย่างเดียว
แต่จะเน้นการสื่อสารไปที่ ความรู้สึกดี ๆ  ที่เกิดขึ้นระหว่างคนกับรถด้วย
และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา Mazda ก็ยังได้ออกแคมเปญเพิ่มเติม 
เพื่อสร้างประสบการณ์ และความรู้สึกที่ดีของผู้ขับขี่กับรถ Mazda
นั่นคือแคมเปญ Mazda Moment 
ซึ่งเป็นแคมเปญที่ให้ลูกค้าแชร์เรื่องราวดี ๆ ระหว่างที่ใช้รถยนต์ Mazda ในการขับขี่
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สำหรับคนรุ่นใหม่อย่าง Mazda2 และ Mazda3 
ไปจนถึงรถยนต์ครอบครัว อย่างเช่น CX-3, CX-5 และรถสปอร์ต MX-5
ยกตัวอย่างเช่น
- คุณหมอที่จังหวัดแพร่ ที่เลือกขับรถ Mazda2 ไป-กลับ โรงพยาบาลทุกวัน 
เพราะเธอมั่นใจในช่วงล่างของ Mazda ที่สามารถขับรถลุยได้ในทุกสภาพถนน
- คุณปู่ที่ซื้อรถให้หลาน ตอนจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย 
ซึ่งยิ่งสะท้อนความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนกับแบรนด์ใกล้ชิดกันมากขึ้น
จะเห็นได้ว่ารถ Mazda ไม่ได้เป็นเพียงรถยนต์ 
ที่สร้างความสุข และความรู้สึกดี ๆ ให้กับผู้ขับขี่เพียงอย่างเดียว
แต่ยังเป็นแบรนด์รถยนต์ ที่สร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ขับขี่ กับครอบครัวของพวกเขาด้วย
นอกจากนี้ Mazda ก็ยังได้ทำการตลาดที่เรียกว่า Fanbase Marketing
นั่นก็คือ การทำตลาดแบบบอกต่อ จากแฟนคลับที่มีความคลั่งไคล้ในรถยนต์ Mazda 
จนกลายเป็นกระบอกเสียงให้กับแบรนด์
โดยในปีนี้ Mazda จะมีการปล่อย Brand Campaign ตัวใหม่ที่บอกเล่าถึงความมุ่งมั่นของ Mazda ที่จะ
“เติมเต็มประสบการณ์ เติมเต็มคุณค่า ยกระดับชีวิตของผู้คน ทั้งในเรื่องของความรู้สึก และการใช้งาน”
ส่วนสำหรับบูธในงานมอเตอร์โชว์ ของ Mazda ที่มาในคอนเซปต์ Love of Cars
จะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 โซนด้วยกัน นั่นคือ
- โซนที่ 1 คือโซนที่มีการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ ๆ ของ Mazda
ในรอบนี้ทาง Mazda ได้นำรถยนต์ MX-30 e-SKYACTIV R-EV ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% 
โดยความพิเศษของรถยนต์รุ่น MX-30 ของ Mazda ก็คือ
ได้มีการติดตั้งเครื่องยนต์โรตารี ซึ่งเป็นเครื่องยนต์รูปสามเหลี่ยมที่มีสมรรถนะสูง
คือมีความทนทาน และให้กำลังสูง
โดยรถยนต์รุ่น MX-30 จะมีเครื่องยนต์โรตารี มาช่วยปั่นกระแสไฟฟ้าให้กับตัวรถยนต์
เพื่อให้รถยนต์ไฟฟ้า มีพละกำลังในการขับเคลื่อนมากขึ้น ไร้ความกังวลและไปได้ไกลกว่า
- โซนที่ 2 You and Mazda Moment
อย่างที่บอกว่า Mazda เกิดจากการเติบโตด้วยแฟนคลับที่ชื่นชอบ
ทั้งในเรื่องของการดิไซน์ และตัวสมรรถนะรถยนต์
ซึ่งการจัดงาน Motor Show ในครั้งนี้ Mazda ก็ได้เชิญชวนให้ลูกค้าได้ส่งภาพถ่ายเข้าประกวด 
ที่สื่อถึงความผูกพันระหว่างผู้ใช้รถ กับรถยนต์ Mazda เพื่อนำมาจัดแสดงที่งานมอเตอร์โชว์
- โซนที่ 3 The Memorable Love of Cars
ในการทำแบรนด์ Mazda ช่วงแรก ๆ ใช้สโลแกนว่า Zoom-Zoom
Zoom-Zoom คือความสนุกสนานช่วงวัยเด็ก ที่เล่นรถของเล่น หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ความเร็ว
แล้วสิ่งเหล่านี้ จะเกิดความรู้สึกแบบ Zoom-Zoom
ซึ่งการจัดงาน Motor Show ในครั้งนี้ Mazda ก็ได้ให้ลูกค้า 
ผู้ที่ผูกพันกับรถยนต์ตั้งแต่เด็ก มีส่วนร่วมในการบริจาครถของเล่น 
ให้กับทาง Mazda แล้ว Mazda ก็จะนำรถของเล่นที่ได้ไปบริจาคต่อ
ซึ่งแคมเปญนี้ของ Mazda ก็ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ๆ 
โดย Mazda ได้รับบริจาคจากคนทั่วไปครบ 500 คัน และสมทบเองอีก 1,000 คัน 
จนกลายเป็น 1,500 คันในที่สุด..
- โซนที่ 4 เป็นโซนจัดแสดงรถยนต์ทุกรุ่น 
ตั้งแต่ Mazda2, Mazda3, CX-30, CX-3, CX-5 และ CX-8
ซึ่งภายในงานก็จะมีการเปิดตัวรถปิกอัพ Mazda BT-50 ซึ่งเป็นโฉมใหม่สำหรับปี 2024
นอกจากนี้ ก็ยังมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นพิเศษในประเทศไทย อย่าง
Mazda 6 ครบรอบ 20 ปี ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นพิเศษ ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งคัน 
โดยเปิดให้จองแล้ว ในประเทศไทยเพียง 100 คันเท่านั้น
Mazda MX-5 เป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ ที่ขายดีที่สุดในโลกมากกว่า 1,000,000 คัน
ซึ่งที่ผ่านมา Mazda เอง ก็พยายามสร้างสรรค์รถยนต์ใหม่ ๆ ด้วยนวัตกรรมที่มีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น
- การนำ Rotary Engine มาพัฒนาและต่อยอด จนกลายเป็น MX5 Roadster
ซึ่ง MX5 Roadster สามารถทำยอดขายในตอนนั้นได้ถึง 900,000 คัน
- Skyactiv Technology ซึ่งก็คือเทคโนโลยีใหม่ของ Mazda ที่ได้คิดค้นขึ้น 
เพื่อพัฒนาสมรรถนะของรถและเครื่องยนต์ให้มีกำลังแรง แต่ประหยัดน้ำมัน
ซึ่งนวัตกรรมทั้งหมดนี้ 
Mazda ทำด้วยความเป็น Craftsmanship หรือความพิถีพิถัน  
ทั้งในเรื่องของวัสดุ การดีไซน์ และโทนสีที่นำมาใช้ออกแบบกับรถยนต์
จึงทำให้ดีไซน์ของ Mazda เป็นดีไซน์ที่อยู่ได้นานและลูกค้าติด
ทั้งหมดนี้ ก็ถือเป็นแนวคิด Challenging Spirit ที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเองของ Mazda
และถึงแม้ว่าภาวะการแข่งขันของตลาดรถยนต์ในตอนนี้ 
จะมีแบรนด์จีนเข้ามาตีตลาด และเน้นในเรื่องของเทคโนโลยี
แต่สิ่งที่ Mazda ยังคงมั่นใจคือ เรื่องความเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง มีความรู้สึกผูกพันกับรถยนต์ 
แถมรู้สึกสนุกทุกครั้ง ขณะขับรถอยู่หลังพวงมาลัย
ซึ่งสิ่งนี้ก็ถือเป็น DNA ของแบรนด์ของ Mazda ที่ติดตัวมามากกว่า 100 ปี
นอกจากนี้ แผนในการสร้างแบรนด์ของ Mazda ในอีก 10 ปีข้างหน้าก็คือ
จะโฟกัสในเรื่อง Well Being คือการทำให้ความเป็นอยู่ของคนดีขึ้น 
จะเติมเต็มความสมบูรณ์ของการใช้ชีวิตของผู้คน ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ได้มากขึ้น
ทั้งตลาดรถยนต์สำหรับคนรุ่นใหม่ อย่าง Mazda2 และ Mazda3 
ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ที่มีไลฟ์สไตล์ค่อนข้างชัดเจน และมีความเป็นตัวของตัวเองสูง
ไปจนถึงรถยนต์ SUV ที่มีความเป็นครอบครัวมากขึ้น อย่างรถยนต์รุ่น CX-3, CX-5, CX-8 และ CX-30
ซึ่ง Mazda เชื่อว่าถ้าแบรนด์แข็งแรง สามารถสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับผู้ใช้งาน 
และเป็นรถยนต์ที่สะท้อนตัวตนของผู้ใช้งานได้จริง
ก็จะทำให้แบรนด์รถยนต์ Mazda นั้น ยังคงเป็นแบรนด์ที่สามารถครองใจผู้ใช้งานได้ตลอดไป..
Tag:Mazda
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.