
กรณีศึกษา คุกกี้ Oreo และบุหรี่ Marlboro เคยมีเจ้าของ คนเดียวกัน
30 มิ.ย. 2023
กรณีศึกษา คุกกี้ Oreo และบุหรี่ Marlboro เคยมีเจ้าของ คนเดียวกัน | BrandCase
Oreo คือแบรนด์คุกกี้มีไส้ ที่ขายดีที่สุดในโลก ด้วยยอดขายกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี
โดย Oreo อยู่ภายใต้บริษัทแม่สัญชาติอเมริกันที่ชื่อว่า Mondelez
ซึ่ง Mondelez ก็เป็นเจ้าของแบรนด์ดัง ๆ อีกเยอะ เช่น ลูกอม Halls, ช็อกโกแลต Toblerone
โดย Oreo อยู่ภายใต้บริษัทแม่สัญชาติอเมริกันที่ชื่อว่า Mondelez
ซึ่ง Mondelez ก็เป็นเจ้าของแบรนด์ดัง ๆ อีกเยอะ เช่น ลูกอม Halls, ช็อกโกแลต Toblerone
ที่น่าสนใจคือ ครั้งหนึ่งคุกกี้ Oreo เคยอยู่ภายใต้บริษัท Philip Morris บริษัทบุหรี่ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ บุหรี่ Marlboro มาก่อน
แล้วเรื่องราวของทั้ง 2 แบรนด์นี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมบริษัทบุหรี่ ถึงกลายเป็นเจ้าของแบรนด์คุกกี้ได้ ?
BrandCase สรุปให้อ่านกัน แบบเข้าใจง่าย ๆ
BrandCase สรุปให้อ่านกัน แบบเข้าใจง่าย ๆ
มาเริ่มต้นกันที่บริษัท Philip Morris ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1847
บริษัทนี้ เริ่มจากจากการผลิตและจัดจำหน่ายยาสูบในประเทศอังกฤษ
บริษัทนี้ เริ่มจากจากการผลิตและจัดจำหน่ายยาสูบในประเทศอังกฤษ
ก่อนที่ธุรกิจจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนขยายกิจการเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1902
ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่แบรนด์บุหรี่ Marlboro นั้นถูกผลิตขึ้นมา
ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่แบรนด์บุหรี่ Marlboro นั้นถูกผลิตขึ้นมา
โดยต้นกำเนิดของแบรนด์ Marlboro นั้น ก็มาจากการที่บริษัทต้องการขยายตลาดไปในกลุ่มผู้หญิงที่สูบบุหรี่ จึงได้ทำปลายบุหรี่สีแดงออกมา ให้สีกลืนไปกับรอยลิปสติก
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ Marlboro กลับประสบความสำเร็จกว่าที่คาด จนในช่วงปี 1950 Marlboro ก็กลายเป็นแบรนด์บุหรี่ที่วางจำหน่ายไปทั่วโลก
ส่วนคุกกี้ Oreo นั้นมีที่มาจากการทำสินค้าเลียนแบบคุกกี้ยี่ห้อ Hydrox ของบริษัท Loose-Wiles Biscuit ที่เป็นผู้คิดค้นคุกกี้แบบนี้ขึ้นมา
โดยรูปแบบของคุกกี้ของ Hydrox ที่ว่านี้ เป็นคุกกี้ผสมผงโกโก้ ที่เพิ่มครีมลงไปตรงกลางระหว่างคุกกี้ทั้ง 2 ชิ้น
รสชาติเข้มและหวานอร่อยไปพร้อมกัน จนได้รับความนิยมในตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
รสชาติเข้มและหวานอร่อยไปพร้อมกัน จนได้รับความนิยมในตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
ทาง NABISCO หรือ National Biscuit Company บริษัทผลิตคุกกี้ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา จึงได้ปั้นแบรนด์ Oreo ออกมาแข่งกับแบรนด์ Hydrox ในปี 1912
และถึงแม้ว่า Oreo จะเป็นสินค้าเลียนแบบ แต่ด้วยกลยุทธ์การตั้งราคาให้สูงกว่า Hydrox และแคมเปญการตลาดสุดฮิตอย่าง บิด ชิมครีม จุ่มนม
ทำให้ Oreo กลายเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคจดจำได้มากกว่า
ทำให้ Oreo กลายเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคจดจำได้มากกว่า
จนกลายเป็นว่า คุกกี้ของ Oreo ขายดีกว่า Hydrox มาตั้งแต่ปี 1950
แล้วบริษัทบุหรี่อย่าง Philip Morris กลายมาเป็นเจ้าของ Oreo ได้อย่างไร ?
ในช่วงปี 1970 บริษัทบุหรี่หลายเจ้าในสหรัฐอเมริกา ประสบปัญหาเรื่องการฟ้องร้อง จากสารพิษที่อยู่ในบุหรี่ จนถูกมองว่า เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยง
พอเรื่องเป็นแบบนี้ บริษัทเหล่านี้จึงเริ่มมองหาธุรกิจอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง
โดย Philip Morris เองก็เป็นหนึ่งในบริษัทเหล่านั้น ที่เริ่มทำการเข้าซื้อกิจการประเภทอื่น ๆ
อย่างเช่น
บริษัทผลิตเบียร์ Miller Brewing ในปี 1970
บริษัทผลิตซีเรียล, เจลลี, กาแฟ General Foods ในปี 1985
บริษัทผลิตชีส Kraft ในปี 1988
รวมถึงบริษัท NABISCO เจ้าของ Oreo ในปี 2000 ด้วยนั่นเอง
หลังจากควบรวมบริษัทเหล่านี้เข้ามาอยู่ในเครือแล้ว ทาง Philip Morris ก็ได้รวมบริษัทเหล่านี้ให้มาอยู่ภายใต้บริษัทใหม่ในชื่อ “Kraft Foods”
แต่ว่าอย่างไรก็ตาม Oreo และ Marlboro กลับมีเจ้าของร่วมกันเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น
เพราะในปี 2007 Philip Morris ได้ตัดสินใจขายหุ้น Kraft Foods ออกไปทั้งหมด
5 ปีถัดมา Kraft Foods ตัดสินใจแยกบริษัทออกมาเป็น 2 บริษัท เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารมากขึ้น โดยแยกออกมาเป็น
1.Kraft Foods Group ที่จะเน้นผลิตภัณฑ์อาหาร และของใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหลัก
2.Mondelez อาณาจักรขนม ที่มีแบรนด์ขนมดัง ๆ อย่าง Oreo, Toblerone และ Ritz
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ในปี 2015 บริษัท Kraft Foods Group ได้ควบรวมกับแบรนด์ซอสมะเขือเทศ อันดับ 1 ของโลก อย่าง Heinz จนกลายเป็นบริษัทอาหารที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 10 ของโลก
ในปี 2015 บริษัท Kraft Foods Group ได้ควบรวมกับแบรนด์ซอสมะเขือเทศ อันดับ 1 ของโลก อย่าง Heinz จนกลายเป็นบริษัทอาหารที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 10 ของโลก
โดยมีผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดคือ บริษัท Berkshire Hathaway ของคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั่นเอง..