สรุป Ufotable สตูดิโอแอนิเมชัน เบื้องหลัง “ดาบพิฆาตอสูร : ภาคปราสาทไร้ขอบเขต”

สรุป Ufotable สตูดิโอแอนิเมชัน เบื้องหลัง “ดาบพิฆาตอสูร : ภาคปราสาทไร้ขอบเขต”

14 ส.ค. 2025
- นี่คือแอนิเมชัน ที่กำลังสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ถึงขนาดที่หลายรอบ หลายโรงภาพยนตร์ในไทย ต้องจองตั๋วกันข้ามวันเลยทีเดียว
จากวันเปิดตัวจนถึง ณ ตอนนี้ ดาบพิฆาตอสูร : ภาคปราสาทไร้ขอบเขต (Demon Slayer: Kimetsu no Yaiba - Infinity Castle) ทำรายได้ทั่วโลกไปแล้ว กว่า 5,000 ล้านบาท
ส่วนในไทย มีข้อมูลว่า แค่วันแรกวันเดียว ทำรายได้เปิดตัวกว่า 70 ล้านบาท
ด้วยสถิติอันน่าทึ่งนี้ ทำให้ “ดาบพิฆาตอสูร ภาคปราสาทไร้ขอบเขต” มีแนวโน้มจะกลายเป็นภาพยนตร์แอนิเมชัน ที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้ภาคก่อนหน้า
อย่าง “ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ : ศึกรถไฟสู่นิรันดร์” ซึ่งกวาดรายได้ทั่วโลกกว่า 18,666 ล้านบาท
นอกจากภาคที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว Demon Slayer ฉบับซีรีส์ที่ฉายตามเคเบิลทีวี หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิงต่าง ๆ ก็ได้กระแสตอบรับถล่มทลายไม่แพ้กัน 
จนทำให้ชื่อของ Ufotable สตูดิโอผลิตแอนิเมชันดาบพิฆาตอสูร ได้กลายมาเป็นชื่อที่ถูกพูดถึง เป็นวงกว้าง
เรื่องราวของสตูดิโอแห่งนี้ เป็นอย่างไร ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
ก่อนที่สตูดิโอ Ufotable จะกลายมาเป็นที่รู้จัก 
เราต้องย้อนกลับไปเมื่อ 25 ปีที่แล้ว หรือในปี 2000 
สตูดิโอ Ufotable ถูกก่อตั้งขึ้นโดย Hikaru Kondo อดีตพนักงานสตูดิโอ TMS Entertainment 
หรือสตูดิโอผู้ผลิตการ์ตูนในวัยเด็กของใครหลายคน อย่างโคนัน และบาคุกัน
อย่างไรก็ตาม Ufotable ก็เป็นเพียงสตูดิโอเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้รับงานแอนิเมชันมากเท่าไรนัก
และผลงานแอนิเมชันในช่วง 5 ปีแรกของสตูดิโอ ก็ไม่ได้เป็นที่นิยม
จนกระทั่งในปี 2013 สตูดิโอแห่งนี้ ก็ประสบความสำเร็จกับผลงานแอนิเมชันเรื่อง “The Garden of Sinners”
ซึ่งก็ได้กลายเป็นบันไดให้ Ufotable ก้าวขึ้นเป็นสตูดิโอชั้นแนวหน้า ของประเทศญี่ปุ่น 
รวมถึงเปิดเส้นทางโอกาส ในการรับผลิตผลงานแอนิเมชันเรื่องอื่น ๆ ตามมา 
อย่างเช่นเรื่อง Fate/stay night : Unlimited Blade Works และ Tales of Zestiria the X
โดยผลงานที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือ แอนิเมชันดาบพิฆาตอสูร ในปี 2019 ที่นอกจากจะขึ้นแท่น กลายเป็นแอนิเมชันอันดับต้น ๆ แล้ว ยังเป็นการ์ตูนที่ถูกกล่าวขานว่า สามารถชุบชีวิตตลาดการ์ตูนญี่ปุ่น ให้กลับมาเฉิดฉายสู่สายตาชาวโลกได้อีกครั้ง
ด้วยจุดเด่นของสตูดิโอ Ufotable ที่ผสมผสานงานภาพแอนิเมชันแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ รวมถึงการเพิ่มกิมมิก พร้อมกับมุมมองใหม่ ๆ ก็ทำให้ผลงานที่ออกมา ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
และในปี 2021 ผลงานภาพยนตร์แอนิเมชัน ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ : ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ ก็ยังคงเป็นที่น่าจดจำ ด้วยต้นทุนสร้างกว่า 578 ล้านบาท แต่สามารถกวาดรายได้ทั่วโลก มากถึง 18,666 ล้านบาท 
แซงหน้าการ์ตูนแอนิเมชันที่ครองแชมป์รายได้อันดับ 1 ในญี่ปุ่นอย่าง Spirited Away จากสตูดิโอ Ghibli 
เรียกว่า Demon Slayer หรือ ดาบพิฆาตอสูร เป็นผลงานที่ทำให้สตูดิโอแห่งนี้ยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2022 ที่ Demon Slayer ซีซัน 2 เริ่มเข้าฉายตามแพลตฟอร์มสตรีมมิงต่าง ๆ
ทำให้ทุกคนเริ่มกลับมาพูดถึงสตูดิโอ Ufotable กันขึ้นอีก
เนื่องจากงานภาพที่พูดได้แค่ว่า “เกินแอนิเมชันซีรีส์ทั่วไป” และหลายคนยังเห็นตรงกันว่า
คุณภาพที่ Ufotable ได้นำเสนอมาในครั้งนั้น แทบจะอยู่ในระดับเดียวกันกับภาพยนตร์ ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ : ศึกรถไฟสู่นิรันดร์ เลยทีเดียว
แน่นอนว่า สำหรับคนที่อยากรู้เรื่องราวต่อจากนี้ของ Demon Slayer ก็สามารถหาอ่านในมังงะ หรือหนังสือการ์ตูน E-book ได้เลย เพราะจริง ๆ เนื้อหาของการ์ตูนได้จบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และแม้ว่าหลายคนจะทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าเนื้อหาตอนต่อไป จะเป็นเช่นไร 
แต่ทุกคนที่เคยอ่านการ์ตูนมาแล้ว ก็พร้อมที่จะติดตามดูแอนิเมชันเรื่องนี้อยู่ดี 
เพราะงานภาพที่ Ufotable หยิบมานำเสนอนั้น เหมือนเป็นการสร้างชีวิตใหม่ให้กับตัวละคร และฉากต่าง ๆ ที่สร้างความประทับใจและตื้นตันใจ ให้กับผู้ชม ในแบบที่แอนิเมชันเรื่องอื่น ก็อาจจะไม่สามารถเทียบเท่าได้
ทั้งนี้ต้องหมายเหตุว่า จริง ๆ แล้วในการสร้างแอนิเมชัน ก็ไม่ได้มีเพียงแค่บริษัทเดียวเท่านั้นที่ทำกราฟิก แต่เป็นการใช้หลาย ๆ บริษัท มาช่วยกันสร้างสรรค์ จนออกมาเป็นผลงานแบบที่เราได้รับชมกัน
และอาจเป็นคำตอบว่า ทำไมต้นทุนการสร้างการ์ตูนซีรีส์สักเรื่องหนึ่งถึงมีราคาสูง
สุดท้ายนี้ Demon Slayer ภาคที่แฟน ๆ คาดหวังและรอคอยมากที่สุด อย่าง “ปราสาทไร้ขอบเขต” ก็ได้เข้าฉายในไทยแล้ว
โดยหากดูจากผลงานของ Ufotable ที่ผ่าน ๆ มา 
ประกอบกับความคาดหวังของแฟน ๆ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 
ผลงานแอนิเมชันชิ้นนี้ของ Ufotable งานภาพก็น่าจะออกมาแบบไม่ธรรมดา อีกเช่นเคย..
© 2025 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.