
วิเคราะห์ ธรรมชาติธุรกิจ Netflix กับ Central Pattana ผ่านจุดร่วม ที่คล้ายกัน ของสองบริษัทนี้
26 ก.ค. 2025
- Netflix ทำธุรกิจแพลตฟอร์มสตรีมมิงคอนเทนต์ เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์
- Central Pattana ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น ศูนย์การค้า Central ทั่วประเทศไทย
แม้ธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทนี้ มองเร็ว ๆ จะไม่เหมือนกัน และไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย
แต่ถ้าคิดดูดี ๆ ก็จะมีมุมโมเดลรายได้ กำไร และกระแสเงินสด ที่ดูเป็นจุดร่วมที่น่าสนใจ
เรื่องนี้มีดีเทลอย่างไร ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
1. มุมโมเดลการสร้างรายได้
- Netflix มีรายได้หลัก ๆ จากการเก็บค่าบริการ Subscription ของสมาชิกผู้ใช้บริการแพลตฟอร์ม
- Central Pattana มีรายได้หลัก ๆ จากการเก็บ ค่าเช่าพื้นที่ ของร้านค้า ร้านอาหาร และซูเปอร์มาร์เก็ต ที่มาเปิดในศูนย์การค้าในเครือ
ทำให้จะเห็นว่า ค่าบริการ Subscription ของ Netflix และค่าเช่าพื้นที่ของศูนย์การค้าในเครือ Central Pattana
ก็จะถูกรับรู้รายได้แบบสม่ำเสมอเป็นงวด ๆ เหมือนกัน ถ้าหากสมาชิก ไม่ยกเลิกบริการ Subscription หรือผู้เช่าพื้นที่ขายของ Central Pattana ไม่ยกเลิกสัญญาเช่า
2. มุมโครงสร้างต้นทุน
- ต้นทุนที่เราจะคิดออกแบบเร็ว ๆ ของศูนย์การค้าของ Central Pattana แน่นอนว่าคงเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายในการโฆษณาโปรโมตศูนย์การค้า
แต่จริง ๆ แล้วต้นทุนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ค่าเสื่อมราคา”
อธิบายค่าเสื่อมราคาของ Central Pattana แบบเข้าใจง่าย ๆ คือ เวลาจะสร้างศูนย์การค้าใหม่ ๆ สมมติว่าใช้เงินลงทุน หลายพันล้านบาท
Central Pattana จะไม่ได้เอาเงินลงทุนทั้งก้อนนั้น มาบันทึกรวมเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายในปีเดียว
แต่จะใช้วิธีทยอยบันทึกค่าใช้จ่าย เป็นค่าเสื่อมราคา ที่จะทยอยตัดไปทีละก้อน ๆ ในทุก ๆ ปี จนกว่าจะหมด
ยกตัวอย่างเช่น Central Pattana ลงทุนสร้างศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ด้วยเงิน 6,000 ล้านบาท
สมมติเงื่อนไขว่า Central Pattana ใช้วิธีหักค่าเสื่อมราคาเท่า ๆ กันทุกปี และอาคารศูนย์การค้ามีอายุการใช้งานเต็มที่ 30 ปี
เท่ากับว่าในแต่ละปี เครือ Central Pattana จะมีค่าเสื่อมราคาของศูนย์การค้าแห่งนี้
เท่ากับ 6,000 ล้านบาท / 30 ปี = 200 ล้านบาท
- Netflix ต้นทุนที่เราพอจะคิดออกได้เลยเร็ว ๆ ก็คือ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแพลตฟอร์มและโฆษณาเพื่อโปรโมตซีรีส์
แต่ก็มีต้นทุนที่สำคัญอีกก้อน ก็คือ “ค่าตัดจำหน่ายคอนเทนต์” (Content Amortization)
ซึ่งค่าตัดจำหน่ายคอนเทนต์ ก็จะมีลักษณะที่คล้าย ๆ กันกับ ค่าเสื่อมราคา ของศูนย์การค้าเครือ Central Pattana
โดย Netflix จะลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่ เพื่อทำ Production สร้างภาพยนตร์ และซีรีส์
รวมถึงลงทุนซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากค่ายอื่น ๆ เพื่อมาเข้าฉายในแพลตฟอร์มสตรีมมิงของตนเอง
ซึ่งเงินลงทุนเพื่อผลิตคอนเทนต์ Netflix จะไม่บันทึกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปทั้งก้อน แต่จะทยอยหักเงินลงทุนก้อนนี้ เป็นค่าใช้จ่ายในทางบัญชีแทน
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่า Netflix ใช้เงินซื้อซีรีส์เรื่องหนึ่งมาอยู่ในแพลตฟอร์ม 100 ล้านบาท
ปีแรก อาจบันทึกค่าตัดจำหน่าย 40 ล้านบาท ปีถัดไป บันทึกลดหลั่นกันมาเป็น 30 ล้านบาท 20 ล้านบาท 10 ล้านบาท ตามลำดับ
จนหมด 100 ล้านบาทไป
สรุปคือ ในมุมต้นทุน Central Pattana และ Netflix ก็มีมุมนี้ที่คล้ายกัน คือค่าตัดจำหน่ายคอนเทนต์ และค่าเสื่อมราคาศูนย์การค้า
ที่จะทยอยตัดเป็นงวด ๆ ไม่ได้บันทึกทั้งก้อนทีเดียว นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในทางบัญชี ในงบกำไรขาดทุน ทั้ง 2 บริษัทจะใช้วิธีทยอยตัดค่าเสื่อม
แต่ในมุมของ งบกระแสเงินสด ทั้ง 2 ธุรกิจนี้ ก็ได้จ่ายเงินทั้งก้อน เพื่อลงทุนไปจริง ๆ
ซึ่งเงินทั้งก้อน ที่จ่ายไปเพื่อลงทุนในทรัพย์สินนั้น เรียกว่าเป็น รายจ่ายเพื่อการลงทุน (Capital Expenditure) หรือที่หลายคนจะคุ้นชื่อคำว่า “CapEx”
ซึ่ง CapEx จะไม่ได้กระทบกับผลประกอบการที่เป็นรายได้และกำไรโดยตรง
แต่จะมีผลต่อ กระแสเงินสด (Cash Flow) ซึ่งสะท้อนสภาพคล่องของธุรกิจ
ดังนั้น ธุรกิจไหน ที่ต้องการเงินลงทุนในสินทรัพย์เป็นจำนวนมาก อย่างเช่นเคสของ 2 บริษัทนี้
ก็จะต้องบริหารสภาพคล่อง ให้มีเงินสดไหลเข้ามาในบริษัทตลอดเวลา
เช่น Central Pattana ก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้มีผู้เช่าพื้นที่เต็มหรือเกือบเต็มตลอด เพื่อที่จะได้กระแสเงินสดจากผู้เช่าเข้ามาอยู่ตลอด
หรือ Netflix ก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้สมาชิกจ่ายค่า Subscription ให้แพลตฟอร์ม ไปตลอด..
References
- คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาสที่ 4/2567 บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา
- 2024 Annual Report Netflix, Inc.