ส่องเทรนด์ธุรกิจความงาม ผ่านมุมมองของ CEO SkinX แอปหาหมอผิวหนัง สัญชาติไทย

ส่องเทรนด์ธุรกิจความงาม ผ่านมุมมองของ CEO SkinX แอปหาหมอผิวหนัง สัญชาติไทย

4 เม.ย. 2024
SkinX x BrandCase
เพราะความสวยรอไม่ได้..
ประโยคนี้คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะผันผวนหรือมีวิกฤติเกิดขึ้น
แต่ความต้องการเสริมความงามให้ดูดีของผู้บริโภคนั้นยังคงมีอยู่เสมอ
ซึ่งหนึ่งในธุรกิจด้านความงามรูปแบบใหม่ ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา คือ SkinX แอปหาหมอผิวหนังออนไลน์
ด้วยแนวคิดที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคดิจิทัล ทำให้ SkinX สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
จนมีผู้ใช้งานแอปพลิเคชันกว่า 1 ล้านคน
วันนี้ BrandCase มีโอกาสสัมภาษณ์คุณหมอผิง-ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล CEO ของ SkinX
ถึงเรื่องแนวคิดการสร้างธุรกิจ แนวโน้มตลาดความงาม รวมถึงความท้าทายของการดำเนินธุรกิจในอนาคต
ซึ่งธุรกิจความงามนี้ หากมองผ่านสายตาของ CEO SkinX จะมีเรื่องอะไรที่น่าติดตามบ้าง ?
BrandCase สรุปให้อ่าน แบบเข้าใจง่าย ๆ
เล่าให้ฟังกันก่อนว่า SkinX คือใคร ?
โดยจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ คุณหมอผิงได้เข้ามาทำงานในส่วนของ Samitivej Virtual Hospital แอปพลิเคชันพบแพทย์ออนไลน์ ผ่านเทคโนโลยี Telemedicine ของโรงพยาบาลสมิติเวช
ซึ่งในตอนนั้นตรงกับช่วงการระบาดพอดี เลยยิ่งกระตุ้นให้คนหันมาสนใจ Telemedicine มากขึ้น
และหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักที่เข้ามาใช้บริการ Samitivej Virtual Hospital คือกลุ่มผิวหนัง
เนื่องจากปัญหาด้านผิวหนัง เช่น ปัญหาสิว สามารถถ่ายรูปส่งเข้ามาปรึกษากับแพทย์ได้
เมื่อเริ่มเห็น Demand ความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่จำนวนมาก
บวกกับความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี Telemedicine ที่เอื้อให้การพบแพทย์ผิวหนังออนไลน์เป็นไปได้ง่าย
จึงพัฒนาออกมาเป็น SkinX แอปพลิเคชันหาหมอผิวหนังออนไลน์ ขึ้นในช่วงปลายปี 2020
หลังจากเปิดตัวไปได้ไม่นาน SkinX ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยมีจำนวนผู้ดาวน์โหลดไปแล้วมากกว่า 500,000 ครั้ง
ปัจจุบัน SkinX มีแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางที่ได้รับการรองรับจากแพทยสภาในแพลตฟอร์มกว่า 300 คน
มีบริการที่ครอบคลุม ตั้งแต่การให้คำปรึกษาโดยแพทย์เฉพาะทาง ครอบคลุมหมวดหมู่การรักษา มากกว่า 20 ประเภท บริการส่งยาถึงบ้าน ซื้อเวชสำอางจากแบรนด์ดัง และช็อปดีลความงามหัตถการต่าง ๆ จากคลินิกและโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจเริ่มสงสัยแล้วว่า SkinX มีรายได้มาจากอะไรบ้าง ?
โดยโมเดลการทำรายได้ของธุรกิจของ SkinX จะแบ่งเป็น
1. ค่าธรรมเนียมการใช้แอปพลิเคชัน จากส่วนของบริการพบแพทย์ออนไลน์
2. เปอร์เซ็นต์จากการขายสกินแคร์หรือยาภายในแอปพลิเคชัน
3. เปอร์เซ็นต์จากการขายดีลหัตถการด้านความงามกับคลินิกและโรงพยาบาทที่เป็นพาร์ตเนอร์
4. รายได้จากการขาย Medical Supply ในรูปแบบธุรกิจที่เป็น B2B กับคลินิกเสริมความงามต่าง ๆ
5. รายได้จากการขายสินค้าของตัวเอง เช่น สกินแคร์ หรือผลิตภัณฑ์กลุ่มยาแต้มสิว
ถึงตรงนี้ หลายคนคงพอจะเห็นภาพโมเดลธุรกิจของ SkinX กันบ้างแล้ว
แต่คำถามคือ แล้วเทรนด์ Telemedicine หรือเทรนด์การหาหมอออนไลน์ มันจะยั่งยืนจริงไหม ?
หรือเป็นแค่เทรนด์ธุรกิจที่อยู่ในช่วงโควิดเท่านั้น ?
เรื่องนี้คุณหมอผิงได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากผ่านช่วงการระบาดมาแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าเทรนด์ Telemedicine อาจไม่ได้เติบโตมากนัก
แต่ความเป็นจริงแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่เคยใช้บริการ และได้รับความสะดวกสบายจากการใช้งาน Telemedicine จนเคยชินกับการรับบริการในรูปแบบนี้ไปแล้ว
จากจุดนี้เองทำให้คุณหมอมองว่า การเข้ามาของ Telemedicine ไม่ใช่เทรนด์ที่ฉาบฉวย
แต่จะกลายเป็นเทรนด์การรักษาแบบใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการพบแพทย์ของคนไทยในอนาคตด้วยเช่นกัน
อ้างอิงจากข้อมูลการใช้งานภายในแอปพลิเคชัน SkinX ของปี 2023 จะพบว่า
- รายได้จากการให้บริการ Telemedicine ยังคงมีสัดส่วนมากถึง 30% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งเติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 55%
- มีจำนวนเคสที่ตรวจรักษาทั้งหมด 33,980 เคส เพิ่มขึ้น 4.74% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
- ปีที่ผ่านมาเภสัชกรได้ให้คำปรึกษาเรื่องผิวเฉลี่ยวันละ 90 เคส/วัน
- 90% ของเคสรักษาสิว สามารถรักษาหายได้ภายใน 3 ครั้ง หลังจากที่พบแพทย์และรับยารักษาจากแพทย์ที่ให้บริการ
- ช่วงเวลาที่คนไข้เข้ามาพบแพทย์มากที่สุด อยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ 18:00-22:00 น.
- โดยอายุของคนไข้ที่เข้ามาใช้บริการ เฉลี่ยอยู่ที่ 27 ปี ซึ่งคนไข้ที่อายุน้อยที่สุดคือ 10 ปี และคนไข้ที่มีอายุมากสุดอยู่ที่ 76 ปี
- เปอร์เซ็นต์การเติบโตของรายได้จากการขาย Voucher deal มีการอัตราการเติบโตสูงถึง 663% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลง Telemedicine นี้ก็กำลังเกิดขึ้นจริง และสามารถสะท้อนผ่านการใช้งานบนแอปพลิเคชัน SkinX ที่ยังคงเติบโตได้ดีอยู่นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกธุรกิจย่อมมีความท้าทาย รวมถึง SkinX ด้วยเช่นกัน..
โดยคุณหมอผิงมองว่า ในปัจจุบัน AI ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ซึ่งในแวดวงทางการแพทย์หลาย ๆ แห่ง ได้เริ่มมีการใช้ AI Diagnosis Tools หรือเครื่องมือในการวินิจฉัยผิวหนัง เข้ามาทดแทนหมอมากขึ้นแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เครื่องมือเหล่านี้จะมีการพัฒนาให้การวินิจฉัยมีความถูกต้องมากขึ้น
สุดท้ายในเรื่องของกฎหมายการรักษา หรือการจ่ายยาก็ยังต้องเป็นแพทย์เหมือนเดิม
คุณหมอผิงจึงมองว่า AI จะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การวินิจฉัยและการตรวจ มีความแม่นยำมากขึ้น แต่ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนอาชีพของหมอได้
ดังนั้นความท้าทายใหม่ ๆ สำหรับ SkinX คือการนำ AI เข้ามาช่วยพัฒนาตัวแอปพลิเคชันให้ตอบโจทย์ผู้เข้ามาใช้บริการมากที่สุด ทั้งในเรื่องของ User Experience และ Personalization หรือการให้บริการที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลมากขึ้น
นอกจากนี้คุณหมอผิง ยังได้แชร์มุมมองภาพรวมและแนวโน้มในตลาดอุตสาหกรรมความงามในอนาคตที่น่าสนใจอีกหลายเรื่อง
เรื่องแรกคือ เทรนด์ความงามที่น่าจับตามองในปี 2024
จากอินไซต์การซื้อดีลภายในแอปพลิเคชัน SkinX พบว่า หัตถการยอดนิยมที่ขายดีที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1. โบท็อกซ์และฟิลเลอร์
2. เลเซอร์หน้าใส
3. กลุ่มกระชับหน้า
จะเห็นได้ว่าเทรนด์ความงามในเรื่องของการฉีดผิว ยังคงเป็นเทรนด์ที่มาแรง
และนอกจากกลุ่มฟิลเลอร์แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์กลุ่ม Biostimulators หรือสารที่ฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวอ่อนเยาว์ ตัวใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดนี้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้คุณหมอผิงยังมองว่า ในอนาคตเทรนด์ความสวยงามอาจไม่ใช่แค่การรักษาปัญหาผิว แต่ยังรวมไปถึงปัญหาในเรื่องความสวยงามบริเวณอื่น เช่น เรื่องผมร่วงหรือผมบาง ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงความสวยงามของเรื่องทันตกรรมหรือฟันอีกด้วย
เรื่องต่อมาคือ อายุโดยเฉลี่ยของผู้บริโภคที่ใช้บริการเสริมความงามลดลงเรื่อย ๆ
ถ้าเจาะลงไปถึงอายุของผู้เข้ามาใช้บริการเสริมความงาม ไม่ว่าจะเป็น บริการโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ หรือกลุ่มกระชับหน้า ซึ่งเป็นกลุ่ม Anti-Aging หรือชะลอความแก่ จะเห็นว่าอายุของผู้เข้ามาใช้บริการด้านความสวยงามเหล่านี้ มีอายุที่น้อยลงมากกว่าในอดีต
เนื่องจากผู้บริโภค New Gen กลุ่มนี้ ค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องของการเสริมความงาม โดยกลุ่มนี้จะมีการศึกษาและเปรียบเทียบข้อมูลด้วยตัวเอง จนสามารถเลือกบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตัวเองได้
ซึ่งต่างกับกลุ่ม Gen X หรือ Baby Boomer ที่จะต้องรอให้ตัวเองมีอายุมากสักหน่อย หรือมีปัญหาริ้วรอยที่เห็นได้ชัดก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเข้ามาใช้บริการเสริมความงามนั่นเอง

เรื่องสุดท้ายคือ Fem Tech เทคโนโลยี เพื่อคุณผู้หญิง กำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากปีที่ผ่านมา หนึ่งในธุรกิจที่น่าจับตามอง และกำลังมาแรงคือ Fem Tech เทคโนโลยีสุขภาพที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ในการดูแลสุขภาพของคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ
โดยข้อมูลจากธนาคารกรุงเทพมีการคาดการณ์กันว่า ภายในปี 2025 กลุ่มธุรกิจนี้จะมีมูลค่าตลาดพุ่งสูงถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 1.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
ซึ่ง SkinX เองก็ถือเป็นหนึ่งใน Fem Tech Startup ด้วยเช่นกัน
และนอกจากการทำแอปพลิเคชัน SkinX เพื่อช่วยดูแลสุขภาพของคุณผู้หญิงแล้ว
ในแง่ของตัวบริษัทเอง ยังได้ให้ความสำคัญในเรื่องของความหลากหลายภายในบริษัทด้วย
เพราะสมัยก่อนหากได้ยินคำว่า เทคโนโลยี ก็มักจะนึกถึงผู้ชาย
แต่ปัจจุบันผู้หญิงหรือเพศอื่น ๆ ก็ได้เข้ามามีบทบาทในธุรกิจนี้มากขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นคุณหมอผิงจึงมองว่า การเติบโตที่มากขึ้นของ Fem Tech ถือเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในกระแสของความเท่าเทียม และความหลากหลายด้วย
ปัจจุบัน SkinX มีสัดส่วนพนักงานภายในบริษัท แบ่งเป็น
- ผู้หญิง 57%
- ผู้ชาย 25%
- LGBT 18%
สุดท้ายแล้วถึงแม้ว่าตลาดความงามจะเป็นตลาด Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูง
แต่คุณหมอผิงกลับมองว่า เป้าหมายสำคัญของการเข้ามาทำธุรกิจนี้ของ SkinX อาจไม่ใช่การชนะในสนามธุรกิจนี้ แต่เป็นการเริ่มต้นให้เกิด Ecosystem ที่ทุกคนสามารถเติบโตไปร่วมกันได้
ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มรายได้เสริม และการให้ความรู้กับแพทย์ที่เข้ามาทำงานร่วมกับ SkinX หรือการเพิ่ม กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับพาร์ตเนอร์ภายใน SkinX
รวมถึงการหา Medical Supply ที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมให้กับบริษัทด้านความงามในไทย
ซึ่งทั้งหมดนี้ จะย้อนกลับไปสู่การได้รับการดูแลผิวที่ดี มีคุณภาพ สะดวก และเข้าถึงง่ายในราคาที่ยุติธรรม สำหรับผู้บริโภคทุกคนนั่นเอง..
Tag:SkinX
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.