
สัมภาษณ์พิเศษ คุณเก็ท CEO บริษัท ITEL เกี่ยวกับ Data Center, Hyperscaler และโอกาสของประเทศไทย
27 พ.ย. 2025
วันนี้ BrandCase ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณเก็ท-ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร (CEO) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL
ถึงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดิจิทัลโดย Cloud Computing และ AI, การลงทุนของ Hyperscaler, สถานการณ์ Data Center ในไทย ไปจนถึงโอกาสของ ITEL จากเรื่องนี้
เรื่องราวนี้น่าสนใจอย่างไร ? แล้ว ITEL กำลังอยู่ในจุดไหน ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
ก่อนอื่น เพื่อให้เข้าใจบริบทของเรื่องนี้แบบชัด ๆ เราต้องเริ่มจากอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลกันก่อน
คุณเก็ทเล่าว่า 2 เมกะเทรนด์หลักที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ คือ Cloud Computing และ AI ซึ่งกำลังสร้าง “คลื่นลูกใหญ่” พร้อมโอกาสมหาศาลให้กับโลกธุรกิจ
ในปี 2024 ตลาด Data Center ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 11 ล้านล้านบาท และยังคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2030
ที่สำคัญ ข้อมูลทุกบิต ทุกวินาทีที่เราใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อน TikTok ประมวลผล AI ทำธุรกรรมทางการเงิน ช็อปสินค้าออนไลน์ผ่าน E-Commerce ไปจนถึงการสตรีม Netflix
ทั้งหมดล้วนต้องถูกเก็บและประมวลผลข้อมูลใน Data Center ทั้งสิ้น
ทั้งหมดล้วนต้องถูกเก็บและประมวลผลข้อมูลใน Data Center ทั้งสิ้น
ความน่าสนใจคือ ขนาดของคลื่นนี้สะท้อนผ่านเม็ดเงินการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก หรือที่เรียกว่า Hyperscaler ที่กำลังแห่กันเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างไม่หยุดยั้ง
- Microsoft ประกาศลงทุน 72,000 ล้านบาท ขยายบริการ Cloud และ AI ในประเทศมาเลเซีย
- TikTok ลงทุน Data Center มูลค่าราว 123,000 ล้านบาท ยกระดับภูมิทัศน์ดิจิทัลของไทย
- Amazon ประกาศว่าลงทุน 300,000 ล้านบาท เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน Cloud ในสิงคโปร์
- TikTok ลงทุน Data Center มูลค่าราว 123,000 ล้านบาท ยกระดับภูมิทัศน์ดิจิทัลของไทย
- Amazon ประกาศว่าลงทุน 300,000 ล้านบาท เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน Cloud ในสิงคโปร์
คำถามที่น่าสนใจถัดมาคือ ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในเกมนี้ ?
แม้ไทยยังถูกมองว่าเป็น Technology Follower เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ แต่ไทยก็ยังมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการสื่อสาร ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว กัมพูชา และเมียนมาได้
ที่สำคัญ ข้อมูลจาก KResearch ชี้ว่า รายได้จากธุรกิจบริการ Data Center ในไทย จะเติบโตจาก 11,900 ล้านบาทในปี 2024 สู่ระดับ 14,200 ล้านบาท ในปี 2026
จากภาคการเงิน และภาคค้าส่ง-ค้าปลีกที่ขยายตัวต่อเนื่องตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้จ่ายออนไลน์เพิ่มขึ้น รวมทั้งภาคบริการสุขภาพเติบโตตามกระแสรักสุขภาพ และการเข้าสู่สังคมสูงอายุ
นั่นหมายความว่า แม้ไทยจะไม่ได้เป็นผู้นำเทคโนโลยีเหมือนสิงคโปร์ แต่ไทยก็มีโอกาสสำคัญ ในการเป็นฟันเฟืองหลักของภูมิภาค ที่รองรับคลื่นการเติบโตของ Data Center และการเชื่อมต่อระดับโลกที่กำลังเกิดขึ้น
โดยคุณเก็ท เชื่อว่า 3 ปีข้างหน้า คือช่วงเวลาสำคัญที่สุด เมื่อ Data Center ของ Hyperscaler เริ่มเสร็จสมบูรณ์และต้องการการเชื่อมต่อ
นี่จะเป็น “คลื่นลูกใหญ่” ที่เปลี่ยนชีวิต สำหรับประเทศไทย
เปรียบเหมือนยุคที่ย้ายจากสายทองแดง มาเป็น Fiber ในอดีต
เปรียบเหมือนยุคที่ย้ายจากสายทองแดง มาเป็น Fiber ในอดีต
อย่างไรก็ตาม แม้ Hyperscaler จะลงทุนสร้าง Data Center มูลค่าแสนล้านเสร็จ แต่หากไม่สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายโลกภายนอกได้ สิ่งที่สร้างมาก็แทบไร้ความหมาย
ดังนั้น ภายใน 3 ปีนี้ ความต้องการโครงข่ายจะทะลักเข้ามามหาศาล
และทำให้ การเชื่อมต่อสู่โลก (Inter Link Building) จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้
และทำให้ การเชื่อมต่อสู่โลก (Inter Link Building) จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้
นี่แหละคือจังหวะสำคัญที่เปิดโอกาสให้ บริษัทเล็กจากไทยก้าวขึ้นมาสู่โต๊ะเจรจาโลก
และทำให้ชื่อของ ITEL ถูกจับตามองมากขึ้น ในฐานะผู้ให้บริการด้านโครงข่ายไฟเบอร์ระดับ B2B ในประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญทั้ง Data Service, งานโครงการ และ Data Center
และทำให้ชื่อของ ITEL ถูกจับตามองมากขึ้น ในฐานะผู้ให้บริการด้านโครงข่ายไฟเบอร์ระดับ B2B ในประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญทั้ง Data Service, งานโครงการ และ Data Center
นอกจากนี้ ด้วยความที่ Hyperscaler เป็นบริษัทต่างชาติทั้งสิ้น การจะเชื่อมต่อข้อมูลกับองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทย อาจมีข้อจำกัดหลาย ๆ ด้าน
ตรงนี้เองที่ ITEL สามารถเข้ามาแก้ปัญหาให้ Hyperscaler ได้
ตรงนี้เองที่ ITEL สามารถเข้ามาแก้ปัญหาให้ Hyperscaler ได้
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกก่อนว่า ในประเทศไทยเอง ก็มีผู้เล่นที่ทำธุรกิจคล้าย ๆ ITEL อยู่หลายราย
คำถามคือ ทำไม Hyperscaler เหล่านี้ ต้องเลือก ITEL ?
คำถามคือ ทำไม Hyperscaler เหล่านี้ ต้องเลือก ITEL ?
คุณเก็ทเล่าว่า สิ่งที่ทำให้ ITEL แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่น ไม่ใช่เรื่องขนาดหรือทุนมหาศาล แต่คือการทำธุรกิจแบบ “ใจแลกใจ”
โดยเขาเชื่อว่า การสร้าง “ความเชื่อมั่น” ระหว่างบริษัทกับลูกค้า ต้องเริ่มจากเจ้าของลงมือทำเอง
เขาได้ให้เบอร์มือถือส่วนตัวกับลูกค้าทุกคน และลงไปเจรจาดีลต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
สิ่งที่ตามมาคือ “สไตล์การทำธุรกิจ ITEL” ที่ไม่เหมือนใคร
สิ่งที่ตามมาคือ “สไตล์การทำธุรกิจ ITEL” ที่ไม่เหมือนใคร
- ถ้าอินเทอร์เน็ตล่ม ITEL จะไม่รอให้ลูกค้าโทรมาโวย แต่เลือกโทรแจ้งก่อนว่ามีปัญหา ก้าวหนึ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “เราไม่เคยถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว”
- ถ้าเห็นใครในวงการเดือดร้อน ต่อให้ไม่ใช่ลูกค้า ITEL ก็พร้อมเปิดโครงข่ายให้ใช้ฟรีทันที เพราะเชื่อว่าการช่วยเหลือในยามวิกฤติจะสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงกว่าโฆษณาไหน ๆ
- และถ้าลูกค้าต้องการบริการอื่น ๆ ที่ ITEL ไม่ได้ทำ บริษัทก็พร้อมแนะนำพันธมิตรให้ โดยไม่เรียกค่าหัวคิว ผลลัพธ์คือความสัมพันธ์ที่กลับมาสร้างลูกค้าใหม่ให้ ITEL อีกที
ทั้งหมดนี้คือการทำธุรกิจแบบ “ใจแลกใจ” ของคุณเก็ท ที่ว่า ถ้าเราอยากได้ “ใจ” ใคร ก็ต้องให้ “ใจ” กับเขาไปก่อน และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หยุดแค่คำพูด แต่เป็นการลงมือทำจริง ๆ
จนกลายเป็นเอกลักษณ์และสูตรสำเร็จที่ทำให้ ITEL สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น
อย่างไรก็ตาม คุณเก็ทก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ตัวเขาเองคือ ข้อจำกัดของบริษัท
เพราะในสายตาของ Hyperscaler เขายังเป็นเพียง “Unknown Person”
ต่อให้ ITEL จะทำงานด้วยความจริงใจแค่ไหน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะถูกเชิญขึ้นโต๊ะเจรจาระดับโลก
เพราะในสายตาของ Hyperscaler เขายังเป็นเพียง “Unknown Person”
ต่อให้ ITEL จะทำงานด้วยความจริงใจแค่ไหน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะถูกเชิญขึ้นโต๊ะเจรจาระดับโลก
ดังนั้น นี่จึงเป็นที่มาของการจับมือกันระหว่าง ITEL และ SEAX Asia
SEAX Asia เป็น พันธมิตรจากสิงคโปร์ที่มีธุรกิจ Submarine Cable และฐานลูกค้า Hyperscaler อยู่ในมือ
การจับมือกันครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเงินทุน แต่คือการได้ทั้ง Network และ Credibility ที่สามารถยกระดับ ITEL ให้ก้าวขึ้นเวทีโลกได้ในทันที เปรียบเสมือนการเดิมพันกับอนาคตใน 3 ปีข้างหน้า
สิ่งที่เคยควบคุมไม่ได้ เช่น “ราคาการเชื่อมต่อจากต่างประเทศ” วันนี้ถูกเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ ต่อรองและบริหารได้ เพราะทั้ง ITEL และ SEAX Asia ต่างเป็นเจ้าของร่วมกัน
และเมื่อนำจุดแข็งของ ITEL ที่เป็นเจ้าของโครงข่ายไฟเบอร์ในไทย มาผสานกับจุดแข็งของ SEAX Asia ที่เป็นเจ้าของโครงข่าย Submarine Cable ทั้งหมดนี้ก็จะเกิดเป็นบริการ End-to-End ที่ครบวงจร
และทำให้มุมมองของ Hyperscaler ต่อ ITEL ต้องเปลี่ยนไป..
สุดท้าย คุณเก็ทย้ำว่า การจับมือกันของ ITEL และ SEAX Asia ครั้งนี้ ไม่ได้เปลี่ยน Fundamental ธุรกิจของ ITEL แต่อย่างใด บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจแบบ “ใจแลกใจ” เหมือนเดิม
แต่สิ่งที่จะเพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ ความสามารถในการก้าวเข้าสู่ New Curve ของตลาด และขยายโอกาสจากคลื่นลูกใหญ่ของ Data Center และความต้องการการเชื่อมโลกดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นได้
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญไม่แพ้ตอนโลกย้ายจาก Copper สู่ Fiber ในอดีตเลยทีเดียว
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญไม่แพ้ตอนโลกย้ายจาก Copper สู่ Fiber ในอดีตเลยทีเดียว
และสำหรับ ITEL เวลานี้คือจังหวะที่ใช่ ที่จะเดิมพันกับโอกาสในอนาคต และเป็นจังหวะที่จะตัดสินว่า บริษัทเล็กจากไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นในเวทีโลกนั่นเอง..