อธิบายคำว่า “Economies of Scale” แบบเข้าใจง่าย ๆ ผ่านตัวอย่าง ธุรกิจขายเสื้อยืด

อธิบายคำว่า “Economies of Scale” แบบเข้าใจง่าย ๆ ผ่านตัวอย่าง ธุรกิจขายเสื้อยืด

26 ก.ย. 2025
ในมุมของการทำธุรกิจ มันจะมีคำหนึ่งที่สำคัญและได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ คือ Economies of Scale หรือภาษาไทยเรียกว่า “การประหยัดต่อขนาด”
รายละเอียดของคำนี้ เป็นอย่างไร BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ ผ่านเคสตัวอย่าง ธุรกิจขายเสื้อยืด
- คำว่า Economies of Scale หรือ การประหยัดต่อขนาด ตามนิยามคือ การที่ธุรกิจมีต้นทุนต่อหน่วย ที่ลดลง เมื่อมีการผลิตสินค้าจำนวนมากขึ้น
เพื่อให้เข้าใจภาพง่าย ๆ เราขอสมมติเคสตัวอย่าง ธุรกิจขายเสื้อยืด
โดยต้องเข้าใจก่อนว่า ธุรกิจจะมีต้นทุนหลัก ๆ 2 แบบ
1. ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) = ต้นทุนที่ไม่ว่าจะผลิตมากหรือน้อย ก็ยังต้องจ่ายเท่าเดิม
เช่น ค่าจ้างพนักงานประจำหน้าสาขา, ค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน, ค่าเช่าหน้าร้านสาขาต่าง ๆ ต้นทุนพวกนี้ ไม่ว่าธุรกิจเราจะขายดีหรือไม่ดี เราก็ยังต้องจ่ายเท่าเดิม
2. ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) = ต้นทุนที่ผันแปรไป ตามจำนวนการผลิตที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
เช่น ค่าต้นทุนสินค้า ยิ่งขายมากก็ยิ่งต้องผลิตหรือสั่งผลิตมากตาม, ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม ที่เมื่อขายสินค้าได้มากขึ้น ก็ต้องเสียส่วนแบ่งให้แพลตฟอร์มมากตาม
สมมติว่า เราสั่งผลิตเสื้อยืด 100,000 ตัวต่อเดือน มีต้นทุนรวม 6,000,000 บาท โดยแบ่งเป็น
- ต้นทุนคงที่ = 1,800,000 บาท
- ต้นทุนผันแปร = 4,200,000 บาท
หมายความว่า ต้นทุนรวมของเสื้อแต่ละตัว เท่ากับ 60 บาท โดยแบ่งเป็น
- ต้นทุนคงที่ต่อตัว = 18 บาท
- ต้นทุนผันแปรต่อตัว = 42 บาท
ต่อมาเสื้อยืดเราขายดีมาก ๆ จนต้องสั่งผลิตเสื้อยืดเพิ่มขึ้น อีกเท่าตัว เป็น 200,000 ตัวต่อเดือน
ทำให้ต้นทุนผันแปร เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเช่นกัน เป็น = 8,400,000 บาท
ขณะที่ต้นทุนคงที่ สมมติว่าเท่าเดิมคือ = 1,800,000 บาท
หมายความว่า ตอนนี้ เสื้อยืดที่เราสั่งผลิต มีต้นทุนรวม = 10,200,000 บาท
แต่ต้นทุนรวมของเสื้อแต่ละตัว ลดลงเหลือ = 51 บาท
ซึ่งแบ่งเป็น
- ต้นทุนคงที่ต่อตัว = 9 บาท
- ต้นทุนผันแปรต่อตัว = 42 บาท
เราจะเห็นว่า ต้นทุนคงที่ต่อเสื้อยืดแต่ละตัว “ลดลง” เมื่อเราเพิ่มจำนวนการสั่งผลิตเสื้อยืดมากขึ้น
เพราะรายจ่ายที่เป็น ต้นทุนคงที่ ถูกกระจายไปยังเสื้อยืดแต่ละตัวที่เราสั่งผลิต ได้มากขึ้น
ซึ่งนี่คือกลไกของการเกิด Economies of Scale หรือเกิดการ ประหยัดต่อขนาด ขึ้นนั่นเอง
แต่ Economies of Scale ก็มีจุดที่อิ่มตัวได้
เช่น ในธุรกิจโรงงานผลิตสินค้า เมื่อผลิตสินค้าเยอะ ๆ จนเต็มกำลังการผลิตแล้ว ถ้าอยากจะผลิตสินค้าให้ได้จำนวนมากเกินกว่ากำลังการผลิตเดิมที่รับได้
เมื่อถึงจุดนี้ อาจต้องตัดสินใจขยายโรงงาน เปิดไลน์การผลิตใหม่ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเรามี ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) เพิ่มมามากขึ้นกว่าเดิม
และถ้าเราหาออร์เดอร์เข้ามาได้ไม่มากพอ จะทำให้มีบางช่วง ยิ่งผลิตเยอะ ก็ยิ่งมีต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยมากขึ้นกว่าเดิม เพราะต้องแบกต้นทุนคงที่ที่สูงขึ้น
ปรากฏการณ์ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยที่มากขึ้นจากการผลิตที่มากขึ้นนี้ เราเรียกว่า Diseconomies of Scale ซึ่งเป็นส่วนกลับของ Economies of Scale
โจทย์สำคัญของธุรกิจ คือต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้ธุรกิจไปอยู่ในจุดที่
ยิ่งผลิตเยอะ ต้นทุนต่อหน่วย ยิ่งลดลง
หรือยิ่งขายเยอะ ต้นทุนต่อหน่วย ยิ่งลดลง
© 2025 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.