นันยาง ทำแคมเปญ BULLY NO MORE พูดประเด็น หยุดการบูลลี่ ในโรงเรียน

นันยาง ทำแคมเปญ BULLY NO MORE พูดประเด็น หยุดการบูลลี่ ในโรงเรียน

27 เม.ย. 2023
นันยาง ทำแคมเปญ BULLY NO MORE พูดประเด็น หยุดการบูลลี่ ในโรงเรียน | BrandCase
ล่าสุด นันยาง ออกมาประกาศจุดยืนพร้อมเป็นแนวร่วมกับเด็กไทยทุกคน เพื่อหยุดปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไป ผ่านแคมเปญ “BULLY NO MORE” ด้วยแนวคิด “ย่ำให้เต็มที่ แต่ไม่ย่ำยีใคร”
แคมเปญนี้ของ นันยาง มีอะไรน่าสนใจบ้าง ?
BrandCase จะสรุปให้อ่านกัน แบบเข้าใจง่าย ๆ
แคมเปญนี้เกิดขึ้นมาจากการที่ นันยาง เข้าไปเจาะลึกอินไซต์เด็กนักเรียนไทย
แล้วพบว่าความต้องการสูงสุดของนักเรียนคือ ต้องการหยุดปัญหาและพฤติกรรม “การบูลลี่ในโรงเรียน” หรือการถูกตัดสินตัวตนของตัวเอง ให้หมดไป
และเรื่องนี้ก็ตรงกับที่กรมสุขภาพจิตได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ไทยกลายเป็นประเทศที่มีปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา นันยาง ก็เคยพูดถึงประเด็นการบูลลี่ในโรงเรียนมาแล้ว
โดยตอนนั้นใช้ #บูลลี่ในโรงเรียนหยุดได้ด้วยนักเรียน
แต่เพราะว่าการบูลลี่ยังคงมีให้เห็น และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุกวัน
นันยาง จึงออกมาประกาศจุดยืนอีกครั้ง ว่าตัวเองขอเป็นแนวร่วมกับเด็กไทย เพื่อยุติปัญหาเหล่านี้
ผ่านแคมเปญ “BULLY NO MORE”
โดยแคมเปญ “BULLY NO MORE” ที่นันยางจัดขึ้นในปีนี้ จะมีกิจกรรมในแคมเปญมากมาย
ซึ่งประเด็นหลักที่แบรนด์พูดถึงในครั้งนี้คือ แบรนด์นันยาง ต้องการกล่าว “คำขอโทษจากนันยาง” คำขอโทษที่นันยางอาจมีส่วนทำให้เกิดการบูลลี่ในโรงเรียนแบบไม่ตั้งใจ
เช่น เนื้อหาโฆษณาในอดีตของนันยางที่เคยเข้าข่ายการบูลลี่ หรือการบูลลี่ทางอ้อมที่อาจเกิดจากรองเท้านักเรียนนันยางเอง
ซึ่งการทำแบบนี้ แบรนด์นันยาง ต้องการแสดงให้สังคมเห็นถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่นันยางได้เคยสื่อสารไปในอดีต ซึ่งบางครั้งอาจมีเนื้อหาบางส่วนเข้าข่ายการบูลลี่โดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่การออกมาขอโทษในครั้งนี้ นันยางก็หวังว่าตัวเองจะเป็นตัวอย่างที่ดี ที่จะจุดประกายแนวคิดให้แก่นักเรียนที่เคยมีพฤติกรรมการบูลลี่คนอื่น ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ได้เกิดการฉุกคิดและปรับเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องนี้
นอกจากนี้ นันยาง ยังได้ทำรองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่นพิเศษ “Nanyang ‘BULLY NO MORE’ Special Edition”
ซึ่งจะพิเศษตรงที่ นันยาง จะเปลี่ยนพื้นที่โลโกนันยางบนรองเท้า ให้เป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE เพื่อประกาศจุดยืนในเรื่องนี้
โดยนันยางเปิดโอกาสให้นักเรียนนำรองเท้าคู่เก่ามาแลกรองเท้ารุ่นพิเศษนี้
ซึ่งรองเท้าคู่เก่าของคนที่เอามาแลก จะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน Art Installation ที่ประกอบขึ้นเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE
และนันยางจะใช้โอกาสของการร่วมกันประกาศจุดยืนนี้ ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในการยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไปผ่านแนวคิด “ย่ำให้เต็มที่ แต่ไม่ย่ำยีใคร”
แล้วตอนนี้ นันยาง มองภาพรวมของตลาดรองเท้านักเรียนในไทยเป็นอย่างไรบ้าง ?
ปัจจุบันตลาดรองเท้านักเรียนทุกประเภทในไทยมีมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท
ด้านภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนในไทยนั้น นันยาง คาดว่าตลาดรวมในปี 2566 จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
เพราะผู้คนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ
และเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ระบบทำให้เศรษฐกิจโดยรวม เกิดความคล่องตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมามากขึ้น
ซึ่งสัญญาณบวกเหล่านี้จะหนุนให้ตลาดรองเท้านักเรียนของไทยในปีนี้ กลับมาคึกคักรับช่วงเปิดเทอมใหม่ในเดือนพฤษภาคมนี้
รายได้ของรองเท้านันยาง อยู่ในบริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ในช่วงที่ผ่านมา
ปี 2562 รายได้ 1,244 ล้านบาท กำไร 33 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 1,298 ล้านบาท กำไร 30 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 1,317 ล้านบาท กำไร 41 ล้านบาท
หากมองเฉพาะตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียน พบว่า
นันยาง ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ราว 44%
โดยแบ่งเป็น
- รองเท้าผ้าใบ 60%
- รองเท้า PVC (นักเรียนหญิง) 35%
- อื่น ๆ 5%
โดยยอดขายในช่วง Back to school มีสัดส่วนมากถึง 80% ของทั้งปี
และช่องทางการขายออนไลน์ยังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ คืออยู่ที่ 10% แต่หลัก ๆ แล้วยอดขาย 70% มาจากร้านขายเครื่องแบบนักเรียนทั่วไป และอีก 20% จากโมเดิร์นเทรด
ส่วนในภาพรวมสัดส่วนรายได้รองเท้าผ้าใบ และรองเท้าแตะช้างดาว จะอยู่ที่ 50:50
นอกจากนี้นันยางยังคาดว่าในปีนี้ รองเท้าผ้าใบนักเรียนของนันยาง จะมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 8-10% เป็นปีแรกที่ตั้งเป้าไว้สูงขนาดนี้ ซึ่งเติบโตสูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3-5%
ซึ่งในปี 2566 จากเดิมที่มีการวางกลยุทธ์ เจาะกลุ่มตลาดรองเท้าผ้าใบไซซ์ใหญ่ ซึ่งสามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดให้เพิ่มขึ้นแล้ว
นันยางยังมีแผนที่จะ เจาะกลุ่มรองเท้านักเรียนไซซ์เล็กให้มากขึ้นด้วย
เช่น รุ่นนันยาง Have Fun ที่ใช้เชือกผูกรองเท้าเป็นยางยืด สามารถสวมโดยที่ไม่ต้องผูกเชือก และเป็นกระแสนิยมอย่างมากของกลุ่มเด็กนักเรียนในระดับประถมศึกษา
ด้านช่องทางการขายต่างประเทศนั้น นันยางยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยในปีนี้ นันยางเผยว่า ยอดการส่งออกต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 25%
จากกลยุทธ์การร่วมมือกับภาครัฐนำสินค้าไทยไปขยายตลาดในต่างประเทศ มีการออกบูทแสดงสินค้าในต่างประเทศ ส่งผลให้รองเท้าผ้าใบนันยางเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น
รวมการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายสำคัญอย่างในวงการกีฬาตะกร้อ และเทคบอลที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน
จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งใน Soft Power ของไทยในปัจจุบัน ทั้งในมุมของนักเรียนและนักท่องเที่ยวด้วย
และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของ นันยาง แบรนด์รองเท้านักเรียน
ที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 75 ปี และกำลังมีความหวังว่า อยากให้การบูลลี่ในโรงเรียน หมดไป..
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.