ทำไม สมาร์ตโฟน Samsung ถึงขายไม่ดี ในจีน

ทำไม สมาร์ตโฟน Samsung ถึงขายไม่ดี ในจีน

31 มี.ค. 2023
ทำไม สมาร์ตโฟน Samsung ถึงขายไม่ดี ในจีน | BrandCase
ปี 2022 ที่ผ่านมา Samsung คือแบรนด์สมาร์ตโฟน ที่ขายดีที่สุดในโลก
โดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ Statcounter
Samsung มีส่วนแบ่งตลาด 27.3% เฉือนชนะ Apple ที่ครองตลาดราว 26.9%
แต่ Samsung กลับมีส่วนแบ่งการตลาด ในประเทศใหญ่อย่างจีน เพียง 1.6% เท่านั้น
ทั้งที่รู้หรือไม่ว่า เมื่อปี 2013 Samsung เคยครองส่วนแบ่งการตลาดในจีน เกือบ 20%
เกิดอะไรขึ้นกับเรื่องนี้
ทำไมสมาร์ตโฟน Samsung ถึงขายไม่ดี ในจีน ?
BrandCase จะสรุปให้ฟัง แบบเข้าใจง่าย ๆ
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน จีน ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา และยังมีค่าแรงที่ถูกอยู่กว่าตอนนี้มาก
ตอนนั้น Samsung เริ่มเข้าไปตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อผลิตโทรศัพท์มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยช่วงแรกเน้นผลิตและส่งออกเป็นหลัก
ต่อมาพอกำลังซื้อของชนชั้นกลางจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว Samsung ก็เริ่มขายเครื่องใช้ไฟฟ้า และโทรศัพท์มือถือที่ผลิตในประเทศ ให้กับคนจีนด้วย
จน Samsung สามารถครองส่วนแบ่งโทรศัพท์มือถือในจีนได้ถึงเกือบ 20% ในช่วงปี 2013
แต่ตัดภาพมาวันนี้ Samsung เหลือส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ตโฟน แค่ 1.6% เท่านั้น
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ชาวจีนไม่นิยม Samsung เหมือนเดิม ? เราลองมาวิเคราะห์กัน
-อย่างแรก คือ จีนมีแบรนด์สมาร์ตโฟนเยอะ แถมครบทุกระดับราคาอยู่แล้ว
จีนมีหลายแบรนด์สมาร์ตโฟนดัง ๆ เช่น OPPO, VIVO, Huawei ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็ทำสมาร์ตโฟนครอบคลุมทุกระดับราคา ตั้งแต่ถูกไปจนถึงแพง
พอประเทศตัวเอง มีแบรนด์ของตัวเอง ที่คุณภาพโอเค มีให้เลือกครบทุกระดับราคา คำถามคือ จะไปสนใจแบรนด์ต่างชาติอย่าง Samsung ทำไม ถ้าเกิดว่าไม่ได้มีอะไรที่ “ว้าวกว่า” จริง ๆ
-ปัจจัยต่อมาคือ การมีคู่แข่งอย่าง OPPO, VIVO และ Huawei ที่เข้าใจตลาดโทรศัพท์มือถือภายในประเทศมากกว่า Samsung
1.ตลาดโทรศัพท์มือถือในจีน จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ตลาดหลัก ๆ
2.ตลาดเมืองหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรมีที่กำลังซื้อสูง อย่างเช่น เซี่ยงไฮ้ หรือปักกิ่ง
3.ตลาดเมืองรอง คือ มณฑลหรือเมืองที่อาจจะยังไม่ได้เจริญมากนัก แต่มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
4.ตลาดออนไลน์ ที่จะมีลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นอยู่เป็นจำนวนมาก
โดยที่แบรนด์อย่าง OPPO, VIVO และ Huawei ที่ล้วนเป็นผู้เล่นภายในประเทศ อาศัยความได้เปรียบจากการจับมือกับศูนย์กระจายสินค้ารายอื่น ๆ เพื่อแย่งส่วนแบ่งลูกค้าจากตลาดเมืองรอง ที่ Samsung ยังเข้าไปไม่ถึง
ในขณะที่ Xiaomi เองก็หันไปโฟกัสกับการขายโทรศัพท์มือถือผ่านช่องทางออนไลน์ แทนการขยายสาขา โดยมุ่ง Target ไปที่กลุ่มลูกค้าวัยรุ่นเป็นหลัก
ในขณะที่ Samsung กลับเลือกที่จะโฟกัสอยู่แค่ลูกค้าในตลาดเมืองหลัก เป็นหลัก
เพราะต้องการเจาะกลุ่มลูกค้าที่กำลังซื้อสูง และไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับแบรนด์ภายในประเทศได้
-อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของ Samsung ลดลง ก็คือคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Apple
Apple บุกตลาดจีนแบบจริงจัง ตั้งแต่ปี 2014 ผ่านการร่วมมือกับ China Mobile บริษัทผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ในจีนที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ
เพราะลูกค้าในกลุ่มเมืองหลักที่มีกำลังซื้อสูงนั้น ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของแบรนด์ และภาพลักษณ์ของความหรูหราเป็นหลัก
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าแม้ประสิทธิภาพของโทรศัพท์ Samsung ในรุ่นเรือธง จะเหนือกว่า Apple อยู่บ้าง แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่า ภาพลักษณ์ความหรูหราของ Apple ชนะขาด
-ปัจจัยสุดท้ายคือ บริการของ Google ตั้งแต่ Google Maps, Gmail ไปจนถึง Play Store นั้น ค่อย ๆ ถูกปิดกั้นในจีนตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา
ซึ่งส่งผลให้โทรศัพท์ของ Samsung ที่พึ่งพาบริการของ Google เป็นหลักนั้น ไม่สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันจาก Play Store หรือใช้บริการอื่น ๆ ของ Google ได้เลย
ในขณะที่คู่แข่งจากทั้งภายในประเทศจีน และ Apple ต่างก็มี App Store เป็นของตัวเอง และไม่ได้ถูกปิดกั้นแต่อย่างใด
ซ้ำร้าย Samsung ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแอปพลิเคชันขึ้นมาทดแทนกับแอปพลิเคชันจาก Google ที่หายไป
ในขณะที่แบรนด์อื่น ๆ มีแอปพลิเคชันขึ้นมาทดแทน
และยังต่อยอดไปจนถึงการพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ ๆ เพื่อลูกค้าชาวจีนโดยเฉพาะ เช่น OPPO มี ColorOS, Xiaomi มี MIUI, Huawei มี HarmonyOS
ด้วยสาเหตุเหล่านี้เองจึงทำให้ Samsung เหลือส่วนแบ่งการตลาดในจีนเพียง 1.6% เท่านั้น
โดยที่ปัจจุบัน แบรนด์ที่สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดในจีน 3 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 Apple ที่ 28.2%
อันดับ 2 Huawei ที่ 23.4%
และอันดับ 3 Xiaomi ที่ 8.7%
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.