ทำไม Airbnb ถึงยังแทนที่ ธุรกิจโรงแรม ไม่ได้

ทำไม Airbnb ถึงยังแทนที่ ธุรกิจโรงแรม ไม่ได้

19 ม.ค. 2023
ทำไม Airbnb ถึงยังแทนที่ ธุรกิจโรงแรม ไม่ได้ | BrandCase
Airbnb แพลตฟอร์มให้บริการที่พักออนไลน์ ที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็มองว่าจะเข้ามา ดิสรัปต์ธุรกิจโรงแรม
อย่างไรก็ตาม Arne sorenson อดีต CEO ของ Marriott และ Chris Nassetta CEO ของ Hilton
ต่างก็เคยให้มุมมองไว้ว่า พวกเขาทั้งคู่นั้น กลับไม่ได้คิดว่า Airbnb เป็นคู่แข่งในธุรกิจโรงแรม
แล้วทำไม Airbnb ซึ่งให้บริการที่พักระยะสั้น ใกล้เคียงกับโรงแรม ถึงยังไม่สามารถแทนที่ธุรกิจโรงแรมได้ ในตอนนี้
BrandCase จะมาสรุปให้ฟัง
Airbnb เริ่มต้นมาจากไอเดียของ 2 รูมเมต ที่ไม่มีเงินจ่ายค่าห้องพักใน San Francisco
อย่าง Joe Gebbia และ Brian Chesky ที่ตัดสินใจปล่อยเช่าห้องพักของตัวเองให้คนอื่นมาพัก
ปัจจุบัน ไอเดียนี้กลายมาเป็นแพลตฟอร์ม ซึ่งมีที่พักมากกว่า 6 ล้านแห่ง มาแชร์ให้คนมาพักได้
ครอบคลุมเกือบทุกประเทศทั่วโลก
ตอนนี้ Airbnb มีมูลค่าบริษัทมากถึงราว 2.1 ล้านล้านบาท
ซึ่งมากกว่ามูลค่าของบริษัทเจ้าของโรงแรมหรูอย่าง Marriott International ที่ 1.69 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ดูเหมือนว่าก็ยังมีหลายคน ที่เลือกจะเข้าพักที่โรงแรม มากกว่าเข้าพักใน Airbnb
หรือเราอาจพูดได้ว่า Airbnb ยังไม่สามารถมาแทนที่โรงแรมได้ 100%
เราลองมาดูกันว่า แล้วทำไม Airbnb ถึงยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่โรงแรมได้
1.กลุ่มลูกค้าแตกต่างกัน
ด้วยจุดเด่นของ Airbnb ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า ในเรื่องวันและเวลาในการเข้าพัก
รวมถึงมีสถานที่ที่มีความหลากหลายมากกว่า โดยมีให้เลือกตั้งแต่ห้องพักใจกลางเมือง ไปจนถึงบางสถานที่
ที่บางครั้งโรงแรมไม่สามารถเข้าถึงได้
เช่น บ้านพักกลางป่า, ปราสาทสไตล์ยุโรป ไปจนถึงเกาะส่วนตัว
พอเป็นแบบนี้ จุดเด่นของ Airbnb คือดูมีความยืดหยุ่นเรื่องลักษณะที่พัก มากกว่าโรงแรมทั่ว ๆ ไป
เช่น สามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่ม ต้องการที่พักขนาดใหญ่ และนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศแบบ Local
ส่วนลูกค้าที่เลือกเข้าพักในโรงแรม เพราะต้องการได้รับการบริการต่าง ๆ
เช่น รูมเซอร์วิส, ยิม, สระว่ายน้ำ และสปา
นอกจากนี้ธุรกิจโรงแรมเอง ก็ยังมีบริการสำหรับลูกค้าที่ไม่ได้เข้าพัก
อย่างเช่น ร้านอาหาร, งานสัมมนา หรืองานแต่งงาน
ด้วยความแตกต่างเหล่านี้เอง จึงทำให้ทั้ง Airbnb และ ธุรกิจโรงแรม มีกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างจะแตกต่างกัน
2.ข้อจำกัดทางกฎหมาย
ด้วยข้อจำกัดของกฎหมายในแต่ละประเทศ ทำให้ในบางประเทศ Airbnb ไม่สามารถให้บริการห้องพักระยะสั้นได้อย่างเต็มที่
ยกตัวอย่างเช่น การกำหนดจำนวนวัน ที่เจ้าของที่พักสามารถปล่อยเช่าได้ในแต่ละปี
เช่น ไม่เกิน 90 วันในอังกฤษ, ไม่เกิน 120 วันในฝรั่งเศส, ไม่เกิน 180 วันในญี่ปุ่น
หรือการกำหนดระยะเวลาเช่าขั้นต่ำ ในสิงคโปร์ ที่กำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 3 เดือน
หรือแม้แต่ไทยเอง ก็มีกฎหมาย จำกัดให้ผู้ปล่อยเช่า 1 คน สามารถปล่อยเช่าได้ไม่เกิน 4 ห้อง
และห้ามรับผู้เข้าพักเกินครั้งละ 20 คน
ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้เอง ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมซึ่งเน้นการเข้าพักระยะสั้นยังคงได้เปรียบ
ทั้งจำนวนห้องและระยะเวลาการเข้าพักที่ไม่ได้ถูกจำกัด ในขณะที่ Airbnb ในหลาย ๆ พื้นที่ ก็จำเป็นต้องปรับไปให้บริการสำหรับเช่าระยะยาวมากขึ้น
3.โรงแรม ก็มีแอปพลิเคชันตัวกลาง ช่วยให้เข้าถึงง่ายเหมือนกัน
ทุกวันนี้ มีแพลตฟอร์มที่เป็นเหมือนตัวกลาง ระหว่างโรงแรมกับลูกค้าเกิดขึ้นมากมาย
ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอย่าง Agoda, Booking, Traveloka
ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้ ก็ช่วยทำให้ลูกค้า
สามารถเข้าถึงการจองโรงแรมได้ง่าย และสะดวกสบายมากขึ้น
ไม่แพ้แอปพลิเคชันของ Airbnb
อ่านมาถึงตรงนี้ เราคงพอสรุปได้ว่า แม้ Airbnb จะเข้ามาเปลี่ยนวิธีการจองห้องพักในธุรกิจท่องเที่ยว
และสามารถแย่งส่วนแบ่งจากธุรกิจโรงแรมไปได้บ้าง
แต่ก็ต้องยอมรับว่าด้วยกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน การปรับตัวของธุรกิจโรงแรม รวมถึงข้อจำกัดทางกฎหมายในการให้บริการที่พัก ทำให้ในวันนี้ Airbnb จึงยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่ธุรกิจโรงแรมได้
ซึ่งก็คงไม่มีใครบอกได้ว่าในอนาคต ใครจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันครั้งนี้
แต่ที่รู้แน่ ๆ คือ ผู้ที่ได้ประโยชน์ตัวจริงจากเรื่องนี้
คงเป็น “เรา” ในฐานะผู้บริโภค ที่มีตัวเลือกหลากหลาย นั่นเอง..
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.