
สรุปวิธีคิด ASAP Project ที่ปรึกษาด้าน Digital Transformation ที่วาง “กลยุทธ์” ก่อนซอฟต์แวร์
22 ส.ค. 2025
90% ของลูกค้า ASAP Project คือองค์กรที่เคยทุ่มเงินหลายล้านบาท ไปกับการพยายามใช้ซอฟต์แวร์เพื่อแก้ไขปัญหาภายในองค์กร และพบว่าซอฟต์แวร์ที่เลือกใช้นั้น ไม่ตอบโจทย์กับการทำงานเลย
ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบเรื่องนี้ง่าย ๆ ก็เหมือนกับการรีโนเวตบ้านครั้งใหญ่ ที่เราต้องเลือกผู้รับเหมา ช่างไฟฟ้า ช่างประปา หรือวัสดุที่ใช้ตกแต่ง ที่ทุกอย่างดูจะยุ่งยากและสับสน จนหลายคนอาจจะจับต้นชนปลายไม่ถูก
และนี่เองคือจุดที่ ASAP Project สามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้คุณได้..
เพราะ ASAP Project ไม่ได้เป็นแค่ที่ปรึกษาด้าน Digital Transformation ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้องค์กรของคุณเพียงอย่างเดียว
แต่ยังให้ความสำคัญกับการวาง “กลยุทธ์” ตั้งแต่ต้นทาง รวมทั้งช่วยคุณถอด Vision และ Pain Points ขององค์กรออกมาเป็น Roadmap ที่ชัดเจน พร้อมจัดลำดับความสำคัญว่าอะไรควรทำก่อนหลัง
เพื่อให้ทุกฝ่ายขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่ต้องเสียเงินไปกับการลองผิดลองถูก และวัดผลได้ด้วยตัวเลข
แล้ววิธีคิด ASAP Project ในการทำ DX (Digital Transformation) เป็นอย่างไรบ้าง ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
หลายคนมักเข้าใจว่า การรีโนเวตธุรกิจให้พร้อมสำหรับ Digital Transformation หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า DX คือการนำระบบใหม่มาแทนที่ระบบเก่า
แต่ ASAP Project เชื่อว่าก้าวแรกที่สำคัญไม่ได้เริ่มต้นจาก “ระบบ” แต่เริ่มจากความเข้าใจใน Vision ขององค์กร, ปัญหาและข้อจำกัด ของกระบวนการทำงานปัจจุบัน และความต้องการของคนทำงาน
ASAP Project มองว่าไม่จำเป็นต้องรีบวิ่งไปหาซอฟต์แวร์เจ๋ง ๆ ฟีเชอร์เยอะ ๆ หรือเครื่องมือใหม่ ๆ ตามเทรนด์ แต่ควรเริ่มจากความชัดเจน ว่าองค์กรต้องการเครื่องมือหรือกลไกในการขับเคลื่อนอะไร และเมื่อไร
และนี่คือ 3 วิธีคิดของ ASAP Project ในการทำ DX (Digital Transformation) ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงแบบ Impact ที่องค์กรต้องการจริง ๆ
[1] Strategy - จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงต้องมีทิศทาง
งานวิจัยจาก Research Firm ชั้นนำชี้ว่า กว่า 70% ของ DX ที่ล้มเหลว มาจากการขาด Strategic Roadmap ที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ ASAP Project
และนี่คือ 3 วิธีคิดของ ASAP Project ในการทำ DX (Digital Transformation) ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงแบบ Impact ที่องค์กรต้องการจริง ๆ
[1] Strategy - จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงต้องมีทิศทาง
งานวิจัยจาก Research Firm ชั้นนำชี้ว่า กว่า 70% ของ DX ที่ล้มเหลว มาจากการขาด Strategic Roadmap ที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ ASAP Project
นั่นคือเหตุผลที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ตั้งแต่ต้น โดยถอด Vision และ Pain Points ขององค์กรออกมาเป็น Roadmap ที่ชัดเจน พร้อมจัดลำดับความสำคัญ สิ่งที่จะทำในระยะสั้น กลาง และยาว
ต่อมาจึงค่อยออกแบบ Roadmap และ Tech Stack ที่เวิร์กจริง เพราะเมื่อเข้าใจแก่นของปัญหา ข้อจำกัดอย่างถ่องแท้แล้ว ถึงค่อยมองหา Solution Provider ที่เหมาะสมให้กับองค์กร
โดยเน้นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด และเหมาะสมกับการใช้งานของทีม และทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้น มีทิศทาง ยั่งยืน และเกิดผลจริง
พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นเหมือนหมอที่ตรวจละเอียดก่อนจ่ายยาให้ถูกกับโรค ไม่ใช่หยิบเทคโนโลยีมาให้ใช้เพราะเห็นคนรอบ ๆ ตัวใช้งาน
[2] Partners - เลือกคู่คิดที่ใช่ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย
ถ้าไม่มี Strategy ที่ชัดเจน ก็อาจลงทุนเยอะ แต่ไม่เห็นผลลัพธ์ ดังนั้นการเลือก Software Provider ก็เหมือนการเลือกคู่ชีวิต คุณต้องอยู่กับเขาไปอีกนาน และมั่นใจว่าเขาจะพาคุณไปถึง Vision ได้จริง
ถ้าไม่มี Strategy ที่ชัดเจน ก็อาจลงทุนเยอะ แต่ไม่เห็นผลลัพธ์ ดังนั้นการเลือก Software Provider ก็เหมือนการเลือกคู่ชีวิต คุณต้องอยู่กับเขาไปอีกนาน และมั่นใจว่าเขาจะพาคุณไปถึง Vision ได้จริง
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง พาร์ตเนอร์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่คนที่ตอบโจทย์เกณฑ์การพิจารณาได้ครบ “ทุกข้อ” แต่คือคนที่ตอบโจทย์ที่ “จำเป็น” ต่อธุรกิจให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ คำว่า “จำเป็น” หมายถึงข้อพิจารณาที่สร้าง “Impact” ต่อธุรกิจ ปิดรอยรั่วและ Pain Points ที่มี ตลอดจนเสริมสร้างและตอบโจทย์ความต้องการของคนทำงานอย่างแท้จริง
ปัญหา คือ หลายองค์กรยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกณฑ์ที่มีความจำเป็นที่ว่านั้น ควรมีอะไรบ้าง แม้จะมีใบเสนอราคามาครบถ้วนแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถตัดสินใจเดินหน้าได้ เพราะขาดการออกแบบเกณฑ์การตัดสินใจที่ถูกต้องนั่นเอง
ASAP Project จึงเข้ามาช่วยตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่การถอด Vision และ Pain Points ไปจนถึงการระบุสิ่งที่องค์กรควรมี แม้ยังไม่รู้ว่าต้องมี ออกมาเป็นเกณฑ์การพิจารณา
รวมทั้งช่วยออกแบบกลยุทธ์ และกระบวนการคัดเลือกพาร์ตเนอร์หรือผู้ให้บริการที่ตอบโจทย์จริง ทั้งเรื่องงบประมาณ ระยะเวลา การเชื่อมต่อ ขยายตัว การใช้งานง่าย บริการหลังการขาย และความพร้อมของทีม ด้วย Framework เฉพาะ เพื่อทำออกมาเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกและตัดสินใจที่มีระบบและเป็นธรรมที่สุด
เพราะซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่ซอฟต์แวร์ที่ฟีเชอร์เยอะที่สุด แต่คือซอฟต์แวร์ที่ต้องเหมาะที่สุดกับธุรกิจนั้น ๆ
[3] People - ทีมงาน คือกุญแจสำคัญสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
แม้เทคโนโลยีจะเป็นตัวเร่งสำคัญ แต่คนต่างหาก ที่เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ตลอดช่วงเวลาของโปรเจกต์ ASAP Project ให้ความสำคัญกับประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
แม้เทคโนโลยีจะเป็นตัวเร่งสำคัญ แต่คนต่างหาก ที่เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ตลอดช่วงเวลาของโปรเจกต์ ASAP Project ให้ความสำคัญกับประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
- ใครเป็น “Change Agents” หรือผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับองค์กร
- ใครเป็น “Talent” ที่มีทักษะและความสามารถที่จะเป็นกลไกสำคัญในการทรานส์ฟอร์ม
- “Skill Gap” ในภาพรวมขององค์กร
- แผนกำลังคนที่ต้องเตรียมในอนาคต เพื่อทำการทรานส์ฟอร์ม
- ใครเป็น “Talent” ที่มีทักษะและความสามารถที่จะเป็นกลไกสำคัญในการทรานส์ฟอร์ม
- “Skill Gap” ในภาพรวมขององค์กร
- แผนกำลังคนที่ต้องเตรียมในอนาคต เพื่อทำการทรานส์ฟอร์ม
จากนั้น ASAP Project จะดึงทีมงานเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น สร้างความเข้าใจ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ และเปิดโอกาสให้แสดงศักยภาพที่ซ่อนอยู่
บางครั้งคนที่ใช่ก็อยู่ในทีมอยู่แล้ว แค่รอพื้นที่ให้พวกเขาได้กลายเป็น Change Agents ที่ช่วยขับเคลื่อน DX ไปข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าองค์กรจะมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากที่ต้องนำมาพิจารณาในการทำ Digital Transformation แต่ 3 วิธีคิดทั้งเรื่อง Strategy, People และ Partners นี้ คือ ฐานความคิดที่จำเป็นและขาดไม่ได้ และทำให้องค์กรสามารถสร้าง Impact จาก DX ได้อย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้ คือเหตุผลสำคัญว่าทำไม ASAP Project จึงมักบอกให้องค์กร “ถอยออกมาหนึ่งก้าว” เพื่อมองให้ชัดก่อนว่า องค์กรกำลังจะมุ่งไปทางไหน
เพราะ ASAP Project เชื่อว่า DX ที่ดี คือ DX ที่ตอบโจทย์ธุรกิจ และมีผลกระทบเชิงบวกต่อองค์กรในระยะยาว รวมทั้งให้ความสำคัญกับ 3 วิธีคิด ของการทำ Digital Transformation ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง และยั่งยืน
และด้วยวิธีคิดแบบนี้เอง จึงทำให้ ASAP Project นั้นแตกต่างจากที่ปรึกษาอื่น ๆ ซึ่งเบื้องหลังเรื่องนี้ ก็มาจากการที่ Founder ของ ASAP Project อย่างคุณแจน-จิดาภา และ คุณโจ๊ก-ธิติ ต่างก็มีประสบการณ์ จากการเผชิญปัญหาการจัดการระบบในองค์กรของตัวเองมาก่อน
เริ่มจากคุณแจน ที่เคยช่วยงานในธุรกิจครอบครัว แล้วพบว่าการใช้ Excel และ วิธีจัดการแบบ Manual นั้นทำให้งานไม่มีประสิทธิภาพและขาดข้อมูลในการตัดสินใจ
ทำให้เธอตัดสินใจเริ่มค้นคว้า และเปรียบเทียบผู้ให้บริการต่าง ๆ จนพบว่า CRM คือคำตอบที่บริษัทเธอต้องการ สำหรับจัดการการขายและเก็บฐานข้อมูลลูกค้า
จากนั้น เธอจึงเริ่มทำการขยายขอบเขต Transformation ไปยังส่วนงานอื่น ๆ ซึ่งทุกวันนี้ธุรกิจของครอบครัวเธอก็ยังใช้งานระบบต่าง ๆ ที่เธอเคยได้ออกแบบเอาไว้
ส่วนคุณโจ๊กเอง ก็เคยเป็นสถาปนิก ที่พบปัญหาเรื่องความไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน จากการที่องค์กรพึ่งพาแต่ Excel หรือ LINE เป็นหลัก
ด้วยเหตุนี้เอง คุณโจ๊กจึงไปปรึกษากับคุณแจน จนค้นพบว่า ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์ที่เหมาะสม แต่เจ้าของธุรกิจเองอาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อน
คุณโจ๊กและคุณแจนจึงเกิดไอเดีย และเห็นช่องว่างการตลาดในการเป็นคนกลางที่เข้าใจทั้งสองโลก พูดได้ทั้งภาษาธุรกิจและภาษาซอฟต์แวร์
เพื่อช่วยให้องค์กรที่เจอปัญหากระบวนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ได้พบเจอกับ Solution ตามที่ตั้งใจไว้ และไม่ต้องเสียเงินหลายล้านบาท ลองผิดลองถูกไปกับอะไรที่ไม่ใช่
ด้วยเหตุนี้เอง “ASAP Project” จึงได้เกิดขึ้นมา..
นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังเชื่อว่า “DX ที่ดีไม่ได้เกิดจากเครื่องมือที่ใช่เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความเข้าใจของคนในองค์กรที่ตรงกันและเดินไปในทิศทางเดียวกัน”
นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังเชื่อว่า “DX ที่ดีไม่ได้เกิดจากเครื่องมือที่ใช่เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความเข้าใจของคนในองค์กรที่ตรงกันและเดินไปในทิศทางเดียวกัน”
ต่อมา เราลองไปดูบริการของ ASAP Project กัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 อย่าง หลัก ๆ ได้แก่
1. DX Strategic Roadmap Design
วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีทิศทาง แยกให้เห็นว่าอะไรควรเริ่มก่อน อะไรควรหยุด และอะไรควรลงทุนเพื่ออนาคต และออกแบบภาพอนาคตของ Tech Stack ขององค์กร ว่าควรจะมีเทคโนโลยีหรือระบบอะไรบ้างในอนาคต รวมถึงกระบวนการที่จะอยู่ในแต่ละระบบ และความเชื่อมต่อกัน โดยผ่านการสัมภาษณ์ (Assessment) เชิงลึกกับทั้งผู้บริหาร และคนทำงานจริง เพื่อระบุปัญหา และวางแผนต่อไปอีกด้วย
วางแผนการเปลี่ยนผ่านแบบมีทิศทาง แยกให้เห็นว่าอะไรควรเริ่มก่อน อะไรควรหยุด และอะไรควรลงทุนเพื่ออนาคต และออกแบบภาพอนาคตของ Tech Stack ขององค์กร ว่าควรจะมีเทคโนโลยีหรือระบบอะไรบ้างในอนาคต รวมถึงกระบวนการที่จะอยู่ในแต่ละระบบ และความเชื่อมต่อกัน โดยผ่านการสัมภาษณ์ (Assessment) เชิงลึกกับทั้งผู้บริหาร และคนทำงานจริง เพื่อระบุปัญหา และวางแผนต่อไปอีกด้วย
2. Vendor Selection & Matchmaking
ไม่ได้แค่เทียบสเป็ก แต่ยังรวมถึงความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน งบประมาณ การดูแลหลังการขาย การขยายตัวในอนาคต และปัจจัยอื่น ๆ ที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง
ไม่ได้แค่เทียบสเป็ก แต่ยังรวมถึงความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน งบประมาณ การดูแลหลังการขาย การขยายตัวในอนาคต และปัจจัยอื่น ๆ ที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง
3. Project Management
จัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ลูกค้า ทั้งประชุม ประสานงาน คุมจังหวะงาน ทำรายงาน เคลียร์ Pain Points รวมทั้งคอยประสานงานกับหลายผู้ให้บริการ เพราะในยุค Automation ต้องมีเรื่องการเชื่อมต่อระหว่างซอฟต์แวร์เป็นเรื่องปกติ
จัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ลูกค้า ทั้งประชุม ประสานงาน คุมจังหวะงาน ทำรายงาน เคลียร์ Pain Points รวมทั้งคอยประสานงานกับหลายผู้ให้บริการ เพราะในยุค Automation ต้องมีเรื่องการเชื่อมต่อระหว่างซอฟต์แวร์เป็นเรื่องปกติ
ASAP Project จึงเปรียบเสมือนผู้ควบคุมวง (Orchestrate) ในเชิงธุรกิจ ที่พร้อมอยู่ข้างทีมเสมอในทุกช่วงสำคัญของโปรเจกต์
ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง และปิดช่องว่าง หรือสภาวะสุญญากาศ ที่มักเกิดเป็นประจำระหว่างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจทำให้เกิดงานใหม่ ๆ แต่ไม่มีผู้รับผิดชอบเดิมอยู่เลย
และนี่คือตัวอย่างเคสจริงที่ ASAP Project เข้าไปช่วยจัดการให้กับองค์กรต่าง ๆ
- ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ต้องการหาระบบบริหารจัดการหลังบ้านเพื่อดูแลกระบวนการขาย-เช่าพื้นที่ การจัดการพื้นที่ส่วนกลาง การซ่อมแซมบำรุงทรัพย์สิน และแจ้งซ่อมและสื่อสารกับผู้เช่า ตลอดจนการจัดซื้อและจัดการสินค้าคงคลัง โดย ASAP Project ได้เข้าไปทำแผน Roadmap และออกแบบภาพของกระบวนการและระบบขององค์กร ตลอดจนคัดเลือกผู้ให้บริการใหม่ที่เหมาะสม
- ประเมินกระบวนการ สร้างกลยุทธ์ในการทำ Loyalty Program ตลอดจนคัดเลือกผู้ให้บริการระบบ ให้กับแบรนด์ร้านอาหารและกาแฟไทย Specialty ที่ต้องการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและความผูกพันกับแบรนด์ด้วย Loyalty Program ที่สร้างกิจกรรม Mission ใหม่ ๆ และกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ด้วย Data-Driven Campaign
- ทำการสำรวจและประเมินปัญหาและความต้องการในระบบปัจจุบันให้กับแบรนด์เชนกาแฟ เพื่อสรุปโซลูชันและงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนากับผู้ให้บริการต่างๆ ตลอดจนวางภาพ Techstack ที่เป็นไปได้ในอนาคต
- ประเมินระบบและกระบวนการธุรกิจเพื่อทำการคัดเลือกระบบหลักในการทำงานใหม่ให้กับธุรกิจอะไหล่ยนต์รายใหญ่ ตลอดจนบริหารจัดการโปรเจกต์ที่มีความซับซ้อนในการเชื่อมต่อกับหลากหลายระบบทั้งระบบที่มีอยู่และระบบใหม่
นอกจากนี้ ASAP Project ยังมีลูกค้าจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ตั้งแต่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทที่เตรียมจะ IPO ไปจนถึง SME ที่อยากโตอย่างยั่งยืน เช่น
- บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO
- Bhiraj Buri Group เจ้าของ ศูนย์แสดงสินค้า BITEC และอาคารสำนักงานชั้นนำ
- เครือธุรกิจกาแฟ Roots
- บริษัท เลิฟโพชั่น จำกัด หรือ Love Potion
- บริษัท ชัยยะเจริญกิจ จำกัด หรือ Copper Beyond Buffet
- บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPCO
- Bhiraj Buri Group เจ้าของ ศูนย์แสดงสินค้า BITEC และอาคารสำนักงานชั้นนำ
- เครือธุรกิจกาแฟ Roots
- บริษัท เลิฟโพชั่น จำกัด หรือ Love Potion
- บริษัท ชัยยะเจริญกิจ จำกัด หรือ Copper Beyond Buffet
อ่านมาถึงตรงนี้ คงเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า ASAP Project ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แต่เพราะประสบการณ์ตรงที่ผู้ก่อตั้งเคยเผชิญมา และเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงที่เวิร์ก ไม่ได้เริ่มจากการหาซอฟต์แวร์ตามเทรนด์มาใช้ทันที
เพราะในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว “กลยุทธ์ที่ดี” ต่างหาก คือเข็มทิศที่พาองค์กรไปได้ไกลที่สุด
และนั่นคือเหตุผลที่ ASAP Project เลือกเริ่มต้นจากการวางกลยุทธ์ให้แข็งแรง
และนั่นคือเหตุผลที่ ASAP Project เลือกเริ่มต้นจากการวางกลยุทธ์ให้แข็งแรง
และเพื่อให้องค์กรกลายเป็น Top 10% ที่ไม่ต้องทุ่มเงินหลายล้านบาท ไปกับการพยายามใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ใช่
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม หลายองค์กรเลือกให้ ASAP Project เป็นที่ปรึกษาสำคัญในการวางรากฐาน DX ที่ตอบโจทย์จริง และขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน..