อธิบายโมเดลรายได้ MAGURO จากงบไตรมาส 2 ปีนี้ พร้อมเตรียมเปิดตัว แบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์

บมจ.มากุโระ กรุ๊ป หรือ MAGURO Group คือ เจ้าของเชนร้านอาหารชื่อดังหลายร้านในไทย

ร้านอาหารญี่ปุ่น MAGUROร้านปิ้งย่างเกาหลี SSAMTHING TOGETHERร้านชาบู HITORI SHABUร้านหมูทอดทงคัตสึ TONKATSU AOKIร้านออลเดย์ไดนิง CouCou

บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2568

รายได้ 447.5 ล้านบาท +39.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ากำไรสุทธิ 32.1 ล้านบาท +148.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

โดยโมเดลสัดส่วนรายได้ ในไตรมาส 2 ปี 2568 แยกตามแบรนด์

MAGURO สัดส่วน 49.0%HITORI SHABU สัดส่วน 26.5%TONKATSU AOKI สัดส่วน 11.3%SSAMTHING TOGETHER สัดส่วน 10.4%CouCou สัดส่วน 2.7%อื่น ๆ สัดส่วน 0.1%

ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทมีหน้าร้านทั้งหมด 45 สาขา

โดยบริษัทบอกว่า แม้บริษัทจะมียอดขายในไตรมาส 2 ปี 2568 เติบโตขึ้นรวม 39.4%
จากการเปิดสาขาใหม่ 7 สาขา ซึ่งก็คือร้าน HITORI SHABU 2 สาขา, CouCou 1 สาขา และ TONKATSU AOKI 4 สาขา ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

แต่ถ้าหากมาดูยอดขายสาขาเดิมหรือที่เรียกว่า Same Store Sales Growth (SSSG) ที่นับเฉพาะยอดขายสาขาเดิม ไม่รวมสาขาที่เปิดใหม่ในไตรมาสนั้น ๆ ตัวเลขนี้กลับปรับตัวลดลง

โดยในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ยอดขาย SSSG ลดลง 9.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ซึ่งบริษัทบอกเหตุผลว่า เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลง และเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค

แต่บริษัทก็ได้เตรียมกลยุทธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเปิดตัวเมนูอาหารใหม่ ๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น และเน้นการสร้างความคุ้มค่าให้ลูกค้า
เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าใหม่

นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ทาง MAGURO Group ก็ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่อีก 2 แบรนด์

คือร้าน BINCHO ร้านอาหารเมนูย่างถ่านแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ที่เริ่มเปิดให้บริการไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาและอีกร้านหนึ่งที่กำลังจะเปิดเร็ว ๆ นี้ก็คือร้าน KIWAMIYA ร้านแฮมเบิร์ก เสิร์ฟมาแบบ Rare เลือกระดับความสุกเองได้ เตรียมเปิดที่โครงการ Dusit Central Park เดือนกันยายนนี้

Reference

คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ของบริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)