เจ้าของ DENTISTE’ ปิดร้านขายยา มาขายยาสีฟัน วันนี้ยอดขาย 2,000 ล้าน

เจ้าของ DENTISTE’ ปิดร้านขายยา มาขายยาสีฟัน วันนี้ยอดขาย 2,000 ล้าน

30 ก.ค. 2023
เจ้าของ DENTISTE’ ปิดร้านขายยา มาขายยาสีฟัน วันนี้ยอดขาย 2,000 ล้าน | BrandCase
โฟมล้างหน้า SMOOTH-E และยาสีฟัน DENTISTE’
หลายคนยังเข้าใจผิดว่า 2 แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ต่างชาติ แต่จริง ๆ แล้ว 2 แบรนด์นี้เป็นของคนไทย
และทั้งสองแบรนด์ มีเจ้าของเป็นคนเดียวกัน โดยผู้ก่อตั้งและปั้นแบรนด์ทั้งสองนี้ คือ ดร.แสงสุข พิทยานุกุล
ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าที่จะเริ่มมาทำแบรนด์ของตัวเอง ดร.แสงสุข เคยเป็นเภสัชกรขายยา ที่มีรายได้มากถึง 150,000 บาทต่อเดือน
แล้วอะไร ทำให้เขาปิดร้านขายยาของตัวเอง แล้วหันมาปั้นแบรนด์ทั้งสองนี้ ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ SMOOTH E และ DENTISTE’ เริ่มมาจาก ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ซึ่งก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจเป็นของตัวเอง เขาเป็นเภสัชกรมาก่อน
เรื่องนี้เริ่มขึ้นหลังจากที่ ดร.แสงสุข ทำงานไปได้สักพัก แล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานประจำ
จึงตัดสินใจลาออกมาเปิดร้านขายยาเป็นของตัวเอง โดยเลือกเปิดร้านสาขาแรก ภายในศูนย์การค้าในย่านสยาม
ด้วยความที่ในวัยเด็ก เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีธุรกิจนำเข้า-ส่งออกสมุนไพรจีน
รวมถึงตัวเขาเองก็เคยเป็นเภสัชกรขายยามาก่อน ทำให้สามารถบริหารร้านขายยาได้ โดยไม่มีปัญหามากนัก
ร้านขายยาของ ดร.แสงสุข ก็ขายดีเกินคาด โดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ
เนื่องจากตัวเขาเองสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ จากการที่เคยไปเรียนปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ยอดขายของร้านขายยาในตอนนั้น เฉลี่ยแล้วมากถึงเดือนละ 150,000 บาท เลยทีเดียว
แต่ในระหว่างที่ธุรกิจร้านขายยากำลังไปได้ดี วันหนึ่งศูนย์การค้าได้ส่งจดหมายมาถึงเขา พร้อมระบุว่า
ทางศูนย์การค้าต้องการพื้นที่ตรงร้านขายยาของเขาคืน และขอให้ย้ายออกภายใน 6 เดือน ทำให้ร้านขายยาของ ดร.แสงสุข ต้องปิดตัวลง
แต่จุดนี้เองที่ทำให้ เขาเปลี่ยนแนวทางการทำธุรกิจ จากเดิมที่เป็นร้านขายยา
มาผลิตสินค้ากลุ่มเวชสำอางขายแทน
แต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ในระยะเวลา 5 ปีหลังจากที่เริ่มต้นธุรกิจขายสินค้าเวชสำอาง
จากสินค้าทั้งหมด 10 ตัว ก็ค่อย ๆ ทยอยเลิกผลิตไป จนเหลือสินค้าตัวสุดท้าย ซึ่งก็คือ “SMOOTH E”
ซึ่งในตอนนั้นเทรนด์เรื่อง วิตามินอี และเรื่องรอยแผลเป็นกำลังมาแรง
บวกกับในช่วงนั้นประเทศไทยกำลังเจอกับวิกฤติต้มยำกุ้ง ส่งผลให้ต้นทุนต่าง ๆ รวมไปถึงค่าโฆษณานั้นลดต่ำลงไปมาก
เมื่อเห็นโอกาสตรงจุดนี้ ทำให้ ดร.แสงสุข ตัดสินใจทุ่มเงินไปกับการโฆษณาอย่างหนัก
ซึ่งผลลัพธ์ ก็เป็นไปตามที่เขาคาด เพราะจุดนี้เองที่ทำให้แบรนด์ SMOOTH E ก้าวขึ้นมาติดตลาดในที่สุด
จนมีคำพูดที่หลายคนน่าจะจำได้ว่า “SMOOTH E โฟมไม่มีฟอง”
จากความสำเร็จของ SMOOTH E ดร.แสงสุข ก็เริ่มต่อยอดธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์อื่น ซึ่งก็คือยาสีฟัน DENTISTE’
เนื่องจากเขามองว่า ตอนนั้นตลาดยาสีฟันในประเทศไทย ยังมีคู่แข่งเพียงไม่กี่ราย
โดยชื่อ DENTISTE’ นั้น มาจากภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “ทันตแพทย์” นั่นเอง
แต่แม้ว่าจะมีคู่แข่งน้อยราย แต่คู่แข่งเหล่านั้นต่างครองตลาดอยู่ การที่จะทำสินค้าเหมือนกันไปแข่งขันตรง ๆ นั้น ต้องใช้เงินทุนมหาศาล
แล้ว DENTISTE’ ใช้กลยุทธ์อะไร ?
คำตอบคือ เน้นสร้างการตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือที่เรียกว่า Niche Market
ซึ่งในตอนนั้น DENTISTE’ โฟกัสไปที่กลุ่มคู่รักที่เพิ่งแต่งงาน โดยการออกยาสีฟันที่มีจุดขายในเรื่อง การลดแบคทีเรียในระหว่างนอนหลับ เพื่อช่วยระงับกลิ่นปากในตอนเช้า
ซึ่งความจริงแล้ว กว่าสินค้าตัวแรกจะออกสู่ตลาดได้ ต้องผ่านการพัฒนา และปรับปรุงตามคำแนะนำจากทันตแพทย์ อยู่หลายครั้ง กินเวลาในการพัฒนาทั้งหมดหลายปี
อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณภาพของสินค้า บวกกับการตลาดที่ตรงจุด ทำให้ DENTISTE’ กลายมาเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในที่สุด
ปัจจุบัน DENTISTE’ มีการวางขายใน 25 ประเทศ
โดยสัดส่วนรายได้ มาจากตลาดต่างประเทศ 50% ในประเทศไทย 50%
แล้ววันนี้ รายได้และกำไรของ SMOOTH E และ DENTISTE’ เป็นอย่างไร ?
บริษัท สมูท อี จำกัด เจ้าของแบรนด์โฟมล้างหน้าและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว SMOOTH E
ปี 2564 รายได้ 422 ล้านบาท กำไร 13 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 453 ล้านบาท กำไร 13 ล้านบาท
บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแบรนด์ยาสีฟันและผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก DENTISTE’
ปี 2564 รายได้ 2,398 ล้านบาท กำไร 73 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 2,414 ล้านบาท กำไร 74 ล้านบาท
จากเรื่องนี้ เราจะได้ข้อคิดหลายข้อด้วยกัน โดยเฉพาะในมุมของธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็น การเกาะไปกับเทรนด์ของตลาด อาจช่วยให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักได้ดียิ่งขึ้น
เหมือนกับตอนที่ ดร.แสงสุข ทำการตลาดให้กับแบรนด์ SMOOTH E
หรือจะเป็นกลยุทธ์เจาะไปที่ Niche Market เพื่อแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ อย่างตอนที่ ดร.แสงสุข ใช้ปั้นแบรนด์ DENTISTE’ ขึ้นมา
ถ้าวันนี้เราคิดว่า แบรนด์ใหญ่ที่เป็นเจ้าตลาด ต่างครองส่วนแบ่งไปหมดแล้ว
ก็ไม่แน่ว่า หากเราลองสังเกตดี ๆ อาจเห็น Niche Market ที่ไม่มีใครมองเห็นก็ได้..
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.