คุยกับเจ้าของร้าน Ranee’s เเละ Phed Phed วิธีคอลแลบ กับแบรนด์อื่น ให้ 1 + 1 ได้มากกว่า 2

คุยกับเจ้าของร้าน Ranee’s เเละ Phed Phed วิธีคอลแลบ กับแบรนด์อื่น ให้ 1 + 1 ได้มากกว่า 2

4 ธ.ค. 2025
-ธุรกิจร้านอาหารตลอดปี 2568 แข่งกันเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าดูข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศปีนี้ คาดว่ามีเกือบ 700,000 ร้าน ยังไม่รวม ร้านรถเข็น ฟูดทรัก และร้านอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในระบบ
เมื่อผู้บริโภคมีตัวเลือกเยอะ ร้านอาหารก็ต้องหาความแตกต่าง หาประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงความสนใจจากลูกค้าให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าไม่ทำ ลูกค้าอาจจะเบื่อ และหันไปหาคู่แข่งได้ทันที
ซึ่งกลยุทธ์หนึ่งที่บางร้านเริ่มหันมาใช้ คือการคอลแลบร่วมกัน เพื่อขยายฐานลูกค้าเเละใช้เอกลักษณ์ของทั้ง2เเบรนด์เพื่อ สร้างประสบการณ์ และรีเฟรชภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูใหม่อยู่ตลอด
หนึ่งในเคสที่น่าสนใจ คือ Phed Phed (เผ็ดเผ็ด) ที่เคยคอลแลบกับร้านอาหารสุขภาพอย่าง Ohkajhu และล่าสุดร้านอาหารอิตาเลี่ยนโฮมเมด Ranee's
BrandCase มีโอกาสได้คุยกับ ผู้ร่วมก่อตั้งของทั้งร้าน Ranee’s เเละ Phed Phed ถึงกลยุทธ์การคอลแลบกับพาร์ตเนอร์ ให้ได้ผลลัพธ์แบบทวีคูณ
คือแบรนด์ตัวเองก็ได้มาก แบรนด์ที่มาร่วมกันก็ได้มาก แถมลูกค้ายังได้อะไรใหม่ ๆ ไปด้วย
หรือพูดง่าย ๆ ว่า คอลแลบอย่างไร ให้ 1 + 1 มันได้มากกว่า 2..
ต้องบอกว่า Phed Phed เป็นแบรนด์ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกัน โดยเฉพาะคออาหารอีสานสไตล์โฮมเมดที่ฉีกเเนวไม่เหมือนใคร
ความจริง จุดเริ่มต้นของการคอลแลบกับแบรนด์อื่น ๆ ของ Phed Phed ก็มาจากรสชาติอาหารอีสานที่แซ่บจัดจ้าน ซึ่งเป็นจุดแข็งของร้านที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ทำให้แบรนด์อื่นที่อยากผสมผสานรสชาติแซ่บในอาหารของตัวเอง ก็สนใจที่อยากจะร่วมงานด้วย
ซึ่งรายแรกก็คือ “รสดี” ที่ออกซุปก้อนรสต้มยำ ถือเป็นโปรเจกต์คอลแลบครั้งแรกของ Phed Phed
หลังจากได้ผลตอบรับที่ดี ก็มีแบรนด์ใหญ่อย่าง Ohkajhu ติดต่อเข้ามา เพราะอยากมีไลน์อาหารอีสานในร้านของตัวเองบ้าง
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ Phed Phed ได้มองว่าเป็นข้อดีของการคอลแลบคือ การสร้างโอกาสในตลาด ที่ช่วยให้คนพูดถึงแบรนด์มากขึ้น มีอะไรใหม่ให้ลูกค้าตื่นเต้นเรื่อย ๆ และทำให้แบรนด์ไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ธุรกิจร้านอาหารแข่งกันสูง
“คนไทยค่อนข้างเบื่อเร็ว และต้องการอะไรใหม่เสมอ” คุณณัฐกร จิวะรังสินี (โอม) ผู้ร่วมก่อตั้งร้าน Phed Phed เล่าในการให้สัมภาษณ์
“ถ้าทำการตลาดแบบเดิม หรือทำอาหารแนวเดิมตลอด ไม่ได้เปลี่ยนอะไร ผมว่าแบรนด์ก็ค่อนข้างเสี่ยงที่จะจมไปเรื่อย ๆ” คุณณัฐพงศ์ แซ่หู (ต้อม) ผู้ร่วมก่อตั้งกล่าวเสริม
จนล่าสุด Phed Phed เดินทางมาถึงโปรเจกต์คอลแลบครั้งที่ 3 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน
คือการจับมือกับ Ranee’s Restaurant ร้านอาหารอิตาลีโฮมเมดที่เปิดมาแล้วกว่า 30 ปี
โดยไอเดียนี้ เกิดจากคุณประภาส หลานคุณราณีเจ้าของร้าน ที่เห็นว่าพฤติกรรมลูกค้าร้านอาหารเปลี่ยนไปมาก ผู้บริโภคต้องการความอร่อยที่แปลกใหม่และแตกต่างจากของเดิม ๆ ที่มีในตลาด เลยเกิดเป็นโปรเจ็ค Phed Phed x Ranee’s ขึ้นมา
ครั้งแรกที่ได้ยิน หลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า.. “อีสานกับอิตาลี จะไปด้วยกันได้เหรอ ?”
แต่พอทั้งสองแบรนด์ได้คุยกันลึก ๆ ก็หาจุดที่จะเข้ามาเสริมกันเจอ เพื่อให้ได้อะไรที่มากกว่าแค่การทำงานร่วมกันธรรมดา ๆ แต่ได้ผลลัพธ์แบบทวีคูณ
และเทคนิคการคอลแลบที่ทั้งสองแบรนด์ใช้ให้ได้ผลลัพธ์แบบทวีคูณ ก็มีอยู่ 3 ข้อหลัก ๆ
อย่างแรกคือ ต้องเข้าใจคาแรกเตอร์และจุดแข็ง ของตัวเองกับพาร์ตเนอร์
แม้ว่าอาหารอีสานกับอิตาลีจะต่างกัน แต่จุดที่มีเหมือนกัน คือทั้งสองร้านเน้นอาหารโฮมเมด และความดั้งเดิมของรสชาติอาหาร
ส่วน Brand Positioning ก็เน้นความเรียบง่ายมากกว่าที่จะเป็น Fine Dining
เมื่อแบรนด์มีคาแรกเตอร์และจุดยืนคล้ายกัน เลยคลิกกันได้ไม่ยาก ซึ่งการคุยให้คลิก ก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณโอมและคุณต้อมย้ำกับเราไว้ เพราะจะยิ่งทำให้การคอลแลบสนุก ซัปพอร์ตกันและกันมากขึ้น
อย่างที่สองคือ ชูจุดเด่นของทั้งสองแบรนด์ แต่ต้องไม่ให้หลุดคาแรกเตอร์
เมื่อเข้าใจคาแรกเตอร์ของกันและกันแล้ว เรื่องสำคัญต่อมาคือการหาจุดสมดุล นำเสนอรสชาติของสองแบรนด์ ที่ให้ทั้ง “ความคุ้นเคย” และ “ความน่าตื่นเต้นแบบใหม่” กับลูกค้า
ในกรณีของ Phed Phed x Ranee’s ฝั่งหนึ่งเด่นเรื่องพิซซ่า พาสต้าเส้นสด
ขณะที่อีกฝั่งเด่นเรื่องรสชาติอีสานดั้งเดิม
สิ่งที่สองแบรนด์ทำร่วมกันคือ คิดค้นเมนูที่คงความเป็นโฮมเมดที่มีทั้งสไตล์อิตาเลี่ยนในแบบที่มีความเป็นอีสานผสมอยู่
ทำให้เมนูที่ออกมายังเป็นที่คุ้นเคยของลูกค้า แต่ได้ความแปลกใหม่ เช่น
พิซซาลูกครึ่งอิตาลี
ที่ยังใช้แป้งพิซซาโฮมเมด แต่เปลี่ยนซอสมะเขือเทศธรรมดาเป็น แจ่วมะเขือเทศ และเติมกลิ่นปลาร้า เพื่อความเป็นอีสาน
พาสต้าคาโบนารา อ่องปูนา
ปกติความมัน ความนัวของเมนูคาโบนาราที่เราคุ้นเคยกันก็จะมาจาก ไข่แดง ครีม และชีส
แต่ Phed Phed เลือก “มันปูนา” ที่เป็นวัตถุดิบท้องถิ่นของอีสานมาเป็นเบสซอส
ให้ความมัน ความนัว ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบไทย
เทคนิคอย่างที่สามคือ หา “ตรงกลาง” ให้ลูกค้าใหม่ได้เปิดใจลอง
ข้อนี้คุณ Roel van Roosmalen หนึ่งในเจ้าของร้าน Ranee’s มาร่วมให้ข้อมูลกับ BrandCase ด้วย
โดยอธิบายไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า
“การตลาดที่สำคัญที่สุดคือทำให้ลูกค้าที่เคยมีอคติ หรือไม่กล้าลอง เปิดใจที่จะลอง”
เขาเล่าว่า ลูกค้าบางคนชอบอาหารอิตาลี แต่ไม่กล้าที่จะลองอาหารอีสานแท้ ๆ หรือในทางกลับกัน บางคนชอบอาหารอีสาน แต่ไม่อยากที่จะลองอาหารอิตาลีดั้งเดิม
โปรเจกต์ Phed Phed x Ranee’s เลยเป็นเหมือนกับตัวเลือกตรงกลาง ที่หยิบอาหารสองสัญชาติมาปรับให้เข้ากัน ให้ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ทดลอง
“ถ้าลูกค้าลองแล้วรู้สึกว่า เมนูฟิวชันอร่อยกว่าที่คิดไว้ตอนแรก ลูกค้ากลุ่มนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเปิดใจลองอาหารดั้งเดิมของอีกฝั่งในอนาคต ถือเป็นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น” คุณ Roel กล่าวเสริม
เมื่อโปรเจกต์ Phed Phed x Ranee’s เปิดตัว ผลตอบรับที่ได้กลับมาคือ บรรยากาศที่แบรนด์รู้สึกได้ว่าลูกค้าอยากมาลอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าตัวเลขยอดขายเพียงอย่างเดียว
“Phed Phed อาจจะเป็นแบรนด์ที่ไม่ได้มองตัวเลขเป็นที่ตั้ง แต่จะมองความพอใจและประสบการณ์ที่ลูกค้า เอาไปบอกต่อกันมากกว่า เพราะท้ายที่สุด ถ้าลูกค้าชอบ ตัวเลขมันก็จะสะท้อนออกมาเองครับ”
สรุปแล้ว การคอลแลบกันให้ได้ผลลัพธ์ 1 + 1 มากกว่า 2 คือการทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ใหม่ ให้ได้รับความสนใจจากลูกค้ากลุ่มใหม่ เพื่อให้แบรนด์เติบโตขึ้น
เพราะในยุคที่ร้านอาหารแข่งขันสูง และสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทายแบบทุกวันนี้
บางครั้ง วิธีที่จะทำให้แบรนด์ร้านอาหารโต อาจจะไม่ได้อยู่ที่การขยายสาขาเพิ่ม
แต่เป็นการ เลือกคอลแลบให้ถูกคน ถูกคอนเซปต์ และถูกจังหวะ นั่นเอง..
© 2025 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.