
“เดี่ยวไมโครโฟน” ทอล์กโชว์อายุเกือบ 30 ปี แต่ยังแมสแทบทุกครั้ง
21 พ.ค. 2024
ณ ตอนนี้ไม่มีใครไม่พูดถึง “เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์”
ทอล์กโชว์อารมณ์ดี ของผู้ชายที่ชื่อ “อุดม แต้พานิช” (ต่อไปนี้จะขอเรียกว่า พี่โน้ส) ที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์แบบถล่มทลายในช่วงที่ผ่านมา
ทอล์กโชว์อารมณ์ดี ของผู้ชายที่ชื่อ “อุดม แต้พานิช” (ต่อไปนี้จะขอเรียกว่า พี่โน้ส) ที่เป็นกระแสบนโลกออนไลน์แบบถล่มทลายในช่วงที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจคือ รู้ไหมว่าตั้งแต่พี่โน้ส จัดเดี่ยวไมโครโฟนครั้งแรก เมื่อปี 2538 ภายใต้ชื่อ “เดี่ยว 1” มาจนถึง “เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์” ครั้งล่าสุด ที่เปลี่ยนมาสตรีมบน Netflix นั้น ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้ว

แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ เดี่ยวไมโครโฟนทุกครั้ง ยังคงทำงานได้อย่างท็อปฟอร์ม และเป็นที่พูดถึงทุกครั้ง
แล้วถามว่า เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์ ครั้งนี้เป็นกระแสขนาดไหน ?
ถ้าไปดูข้อมูลจากคะแนนบน Google Trends ประเทศไทย
ที่สะท้อน “ระดับความสนใจ” ของผู้คนภายในกรอบเวลาที่ตั้งค่าไว้ ในรูปแบบของตัวเลขสเกล 0-100
ที่สะท้อน “ระดับความสนใจ” ของผู้คนภายในกรอบเวลาที่ตั้งค่าไว้ ในรูปแบบของตัวเลขสเกล 0-100
- 100 หมายถึง ณ เวลานั้นมีการค้นหาคีย์เวิร์ดสูงสุด ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้
- 50 หมายถึง ณ เวลานั้นมีการค้นหาเป็นครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดของความสนใจ ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้
- 0 หมายถึง ณ เวลานั้นไม่มีการค้นหาเลย หรือมีข้อมูลไม่เพียงพอ
- 50 หมายถึง ณ เวลานั้นมีการค้นหาเป็นครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดของความสนใจ ในช่วงเวลาที่กำหนดไว้
- 0 หมายถึง ณ เวลานั้นไม่มีการค้นหาเลย หรือมีข้อมูลไม่เพียงพอ
จะเห็นว่า ตั้งแต่ “เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์”
ถูกสตรีมลงบน Netflix เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม
ถูกสตรีมลงบน Netflix เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม

ยอดการค้นหาคำที่เกี่ยวกับ “เดี่ยวไมโครโฟน” ไม่ว่าจะเป็น เดี่ยว, เดี่ยวไมโครโฟน, เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์ ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนมีคะแนนถึง 100 ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
แถมในช่วงเวลาเดียวกัน “เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์” ยังสามารถแซงหน้า ซีรีส์เกาหลีเรตติงดี อย่าง “Queen of Tears” ที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศ
ขึ้นแท่นเป็นคอนเทนต์อันดับ 1 ที่คนไทยรับชมผ่าน Netflix ได้อีกด้วย

อย่างไรก็ดี BrandCase มองว่า เบื้องหลังความนิยมที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว
ปัจจัยหลักๆ ก็น่าจะมาจากการที่เดี่ยวไมโครโฟน เปลี่ยนมาสตรีมบน “Netflix”
ปัจจัยหลักๆ ก็น่าจะมาจากการที่เดี่ยวไมโครโฟน เปลี่ยนมาสตรีมบน “Netflix”
เพราะปกติแล้ว โมเดลของเดี่ยวไมโครโฟน คือ การจัดทอล์กโชว์ และขายบัตรให้คนเข้าไปชม ทำให้ตัวคอนเทนต์ อาจจะถูกจำกัดไว้ให้คนไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เดี่ยว 13 ที่มีรอบการแสดงวันที่ 22 เมษายน - 1 พฤษภาคม ปี 2565
ถ้าลองดูข้อมูลใน Google Trends แบบง่าย ๆ จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว
มียอดการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับเดี่ยว 13 น้อยมาก
ถ้าคิดเป็นคะแนนการค้นหาจะมีเพียง 1-6 คะแนนเท่านั้น
มียอดการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับเดี่ยว 13 น้อยมาก
ถ้าคิดเป็นคะแนนการค้นหาจะมีเพียง 1-6 คะแนนเท่านั้น
กลับกันถ้าเทียบกับช่วงเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน ที่เดี่ยว 13 ประกาศว่าจะ “สตรีมบน Netflix”
คะแนนการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับเดี่ยว 13 กลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนมีคะแนนที่ 100 สะท้อนให้เห็นว่าการสตรีมบน Netflix มีผลมาก ๆ กับความสนใจของคนไทยนั่นเอง
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ? ลองวิเคราะห์กัน
ต้องอธิบายก่อนว่า เสน่ห์ที่ทำให้เดี่ยวไมโครโฟนครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน คือ คอนเทนต์ที่แข็งแรงนอกจากความสนุก ในสไตล์สแตนด์อัปคอมเมดี้
ต้องอธิบายก่อนว่า เสน่ห์ที่ทำให้เดี่ยวไมโครโฟนครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน คือ คอนเทนต์ที่แข็งแรงนอกจากความสนุก ในสไตล์สแตนด์อัปคอมเมดี้
แถมยังทัชใจผู้ชม ด้วยการหยิบเอาเรื่องราวในชีวิตประจำวันของคนไทย ที่เป็น Painpoint ในการใช้ชีวิตของผู้คน มาขยี้ได้ตรงจริตผู้ชม จนทำให้ผู้ชม รู้สึกมีประสบการณ์ร่วม และอินไปกับเรื่องราวที่พี่โน้สเล่า
ยกตัวอย่างเช่น
- การแซวเพลงฮิตยุค 90 ที่เนื้อหาของเพลง ใช้วิธีเล่นคำ ร้องวนไปวนมา
เช่น เพลงดูมั้ย ของศิลปินลิฟต์-ออย ที่ร้องว่า “ดูไม่ดู ดูไม่ดู ดูไม่เสียตังค์” ในเดี่ยว 3
เช่น เพลงดูมั้ย ของศิลปินลิฟต์-ออย ที่ร้องว่า “ดูไม่ดู ดูไม่ดู ดูไม่เสียตังค์” ในเดี่ยว 3
- การแซวความเชื่อของคนไทยในยุคหนึ่ง ที่เชื่อว่า การเอารูปโพลารอยด์มาแกว่งหลังถ่ายเสร็จ
จะทำให้ภาพออกมาเร็วขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ ในเดี่ยว 6
จะทำให้ภาพออกมาเร็วขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่ ในเดี่ยว 6
- การแซว “ตุ๊กตาเฟอร์บี้” ที่คนแห่เก็บสะสม จนราคาขึ้น ในเดี่ยว 10
ทั้งหมดที่ว่ามามันแสดงให้เห็นว่าทอล์กโชว์ชุดนี้มีการพัฒนาเนื้อหา เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยและกลุ่มเป้าหมายอยู่เสมอ และกลายเป็นเหมือนสูตรสำเร็จที่ทำซ้ำได้เรื่อย ๆ ซึ่งใน
“เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์” ครั้งล่าสุดนี้ก็เช่นกัน
ที่สำคัญ คือ แม้ “เดี่ยวไมโครโฟน” จะประสบความสำเร็จจากการจัดการแสดงสด หลาย ๆ รอบ แต่เมื่อพฤติกรรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ก็ไม่ได้ยึดติด และพร้อมจะปรับตัวไปตามยุคสมัย
อย่างที่รู้ว่า คนยุคนี้โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และ Gen Y หันมาเปิดใจให้กับความบันเทิงในบ้าน อย่างแอปสตรีมมิงกันมากขึ้น
เห็นได้จากผลสำรวจจาก Statista ในปี 2023 ที่พบว่าทุกวันนี้แทบไม่มีใครไม่ดู Netflix แล้ว
Gen Z เพียง 12% ยอมรับว่าไม่เคยดู Netflix
Gen Y เพียง 15% ยอมรับว่าไม่เคยดู Netflix
Gen X เพียง 31% ยอมรับว่าไม่เคยดู Netflix
Gen Y เพียง 15% ยอมรับว่าไม่เคยดู Netflix
Gen X เพียง 31% ยอมรับว่าไม่เคยดู Netflix
ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม Netflix ถึงเป็นสตรีมมิงที่พี่โน้สเลือกจะเป็นพาร์ตเนอร์
โดยก่อนหน้านี้ จะเห็นว่า Netflix ได้ลิขสิทธิ์ของเดี่ยวไมโครโฟนในอดีต ยกตัวอย่างคือ เดี่ยว 13 มาสตรีมให้รับชมผ่าน Netflix ซึ่งแน่นอนว่า ผลตอบรับกลับมาดีเกินคาด
หลังจากนั้น ก็ขยับมาจับมือกัน ทำออริจินัล คอนเทนต์ จนกลายเป็น
“เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์”
“เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์”
ซึ่งถ้าวิเคราะห์ในมุมธุรกิจ การเปลี่ยนมาฉายบน Netflix แบบนี้ จะทำให้เดี่ยวไมโครโฟนสามารถเข้าถึงฐานผู้ใช้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่นับล้าน ๆ คนบน Netflix ได้ “ด้วยการแสดงเพียงแค่ครั้งเดียว”
ซึ่งในระยะยาว ก็อาจจะเป็นเรื่องดีกับแฟรนไชส์ของเดี่ยวในอนาคตด้วยซ้ำ ที่ได้ฐานแฟนคลับเป็นคนรุ่นใหม่เพิ่ม
เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าผลลัพธ์ของเดี่ยวไมโครโฟนที่ร่วมมือกับ Netflix ในครั้งนี้ เป็นอย่างไร ?
ก็อย่างที่หลายคนเห็น คือ กลายเป็นกระแส และถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง ไม่ต่างจากครั้งก่อน ๆ หรือเผลอ ๆ อาจจะดีกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
โดยถ้าลองเซิร์ชคำค้นหาเกี่ยวกับเดี่ยวไมโครโฟนบน TikTok ที่เป็นแพลตฟอร์มที่คนรุ่นใหม่นิยมจะเห็นว่าแต่ละคลิปที่มีแท็กเกี่ยวกับ โน้ส อุดม, เดี่ยวไมโครโฟน, หรืออื่น ๆ ล้วนมียอดการเข้าชมแบบถล่มทลาย รวมกันหลายล้านรีชกันทีเดียว
เรียกได้ว่า การมาของ “เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์” ครั้งนี้ ไม่ได้มีแต่ความฮา และความสนุกแต่ยังถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่สนใจและน่าติดตามไม่น้อย
#เดี่ยวสเปเชียล #SuperSoftPower #NetflixTH