สรุป Fantree Marketing กลยุทธ์ขายลูกค้า 1 คน ให้ตามมาซื้อ อีก 100 คน
29 ต.ค. 2023
สรุป Fantree Marketing กลยุทธ์ขายลูกค้า 1 คน ให้ตามมาซื้อ อีก 100 คน | BrandCase
Fantree มาจากคำว่า Fan + คำว่า Tree
คำว่า Fan หมายถึง แฟนคลับ แฟนพันธุ์แท้
ส่วนคำว่า Tree ก็หมายถึง แผนผัง หรือเครือข่าย คล้าย ๆ กับคำว่า Family Tree ที่หมายถึง แผนผังครอบครัว
Fantree มาจากคำว่า Fan + คำว่า Tree
คำว่า Fan หมายถึง แฟนคลับ แฟนพันธุ์แท้
ส่วนคำว่า Tree ก็หมายถึง แผนผัง หรือเครือข่าย คล้าย ๆ กับคำว่า Family Tree ที่หมายถึง แผนผังครอบครัว
สรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ ของ Fantree คือพูดถึงการขาย ที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า จนลูกค้า “อยากบอกต่อ” ให้กับคนอื่น อีกเป็น 100 คน
แล้วควรขายแบบไหน ให้ลูกค้าของเรา ไปบอกต่ออีกเป็นร้อย ๆ คน ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
แนวคิดเรื่อง Fantree Marketing มาจากหนังสือที่ชื่อว่า “ขาย 1 คน ตามมาซื้ออีก 100 คน”
เป็นหนังสือที่เขียนโดยนักขายมือทองชาวญี่ปุ่น คุณสุนาดะ มาซาชิ
เป็นหนังสือที่เขียนโดยนักขายมือทองชาวญี่ปุ่น คุณสุนาดะ มาซาชิ
คุณสุนาดะ บอกว่าสำหรับพนักงานขายทั่วไป
แน่นอนว่า ลูกค้าที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือ ลูกค้ารายใหญ่ ที่สามารถสร้างยอดขายได้เยอะ
แน่นอนว่า ลูกค้าที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือ ลูกค้ารายใหญ่ ที่สามารถสร้างยอดขายได้เยอะ
สิ่งที่พนักงานขายทั่วไปทำคือ จำเป็นต้องหาลูกค้ารายใหม่ ๆ เพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
ให้ยอดขายเติบโตขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ให้ยอดขายเติบโตขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งการทำแบบนี้ แน่นอนว่าทำให้ยอดขายนั้นเติบโต
แต่ก็ต้องแลกกับการที่ต้องลงแรง ไล่ล่าหาลูกค้าบ่อย ๆ และโน้มน้าวให้ลูกค้ามาซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา
แต่ก็ต้องแลกกับการที่ต้องลงแรง ไล่ล่าหาลูกค้าบ่อย ๆ และโน้มน้าวให้ลูกค้ามาซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา
และในบางครั้ง เราอาจจะต้องไปเสนอขายผลิตภัณฑ์ของเรา ให้กับคนที่เรารู้จัก
เช่น เพื่อนสมัยเรียน หรือเพื่อนในที่ทำงาน
เช่น เพื่อนสมัยเรียน หรือเพื่อนในที่ทำงาน
ซึ่งการเสนอขายของแบบนี้ ก็อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อน หรือคนรู้จักนั้น
แย่ลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แย่ลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ถ้างานขาย คือการหาลูกค้า
ประเด็นก็คือ เราจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าอย่างไร ให้ลูกค้าคนสำคัญ อยู่กับเราไปนาน ๆ
แถมยังสามารถช่วยเราขายได้ ด้วยการบอกต่อผลิตภัณฑ์ของเรากับคนอื่น
ประเด็นก็คือ เราจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าอย่างไร ให้ลูกค้าคนสำคัญ อยู่กับเราไปนาน ๆ
แถมยังสามารถช่วยเราขายได้ ด้วยการบอกต่อผลิตภัณฑ์ของเรากับคนอื่น
คุณสุนาดะ เลยมีแนวคิดชื่อ Fantree Marketing สำหรับนักขายมืออาชีพ
โดยแนวคิด Fantree Marketing เป็นวิธีการมองลูกค้า ที่ไม่ใช่เพียงแค่มองหาลูกค้า
เพื่อสร้างยอดขายให้เติบโตเพียงอย่างเดียว
เพื่อสร้างยอดขายให้เติบโตเพียงอย่างเดียว
แต่เป็นวิธีการมองหาลูกค้าคนพิเศษ ที่เรารู้สึกว่า เป็นลูกค้าที่คุยด้วยแล้วรู้สึกเข้ากันได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ เรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัวบ้าง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ เรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัวบ้าง
แล้วลูกค้ากลุ่มนั้น จะช่วย “บอกต่อ” หรือช่วยขายของให้เราได้เองโดยอัตโนมัติ
โดยคนขายเอง ก็รู้สึกสนุก และมีความสุข จนอยากพบเจอกับลูกค้าคนนั้นบ่อย ๆ
ซึ่งเราเรียกลูกค้ากลุ่มนี้ว่าเป็น “กลุ่มลูกค้าที่ทำให้ใจเต้น”
แล้วลูกค้ากลุ่มนี้นี่แหละ ที่จะกลายมาเป็นตัวแปรสำคัญ ในการบอกต่อผลิตภัณฑ์ของเรา
และจะทำให้เครือข่ายของเรานั้นเติบโตขึ้น
และจะทำให้เครือข่ายของเรานั้นเติบโตขึ้น
ซึ่งเพียงแค่เรา หากลุ่มลูกค้าที่ทำให้รู้สึกใจเต้นมาสัก 1-3 คน
ก็สามารถทำให้ยอดขายของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ก็สามารถทำให้ยอดขายของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดด
แล้วกลุ่มลูกค้าแบบไหน ที่ทำให้รู้สึกใจเต้น ?
มี 3 ข้อหลัก ๆ ที่จะช่วยให้เราหาลูกค้ากลุ่มนี้
มี 3 ข้อหลัก ๆ ที่จะช่วยให้เราหาลูกค้ากลุ่มนี้
1.ลูกค้าที่เวลาเราคุยเรื่องธุรกิจ หรือเรื่องต่าง ๆ แล้วรู้สึกสบายใจ และเข้ากันได้ดีมาก ๆ
2.ลูกค้าผู้เป็นที่สุด ในบรรดาลูกค้าทั้งหมด ซึ่งก็คือลูกค้าที่สร้างยอดขายให้เรามาก ๆ ในระยะยาว
3.ลูกค้าที่มีคอนเน็กชันเยอะ คือสามารถนำการขายของเรา ไปบอกต่อกับคนอื่นได้มาก
แน่นอนว่า ถ้าลูกค้าคนไหน มีครบทั้ง 3 ข้อนี้ ถือว่าเป็นลูกค้าที่ทำให้เราใจเต้น
ซึ่งเราต้องรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มนี้ให้ดีที่สุด
ซึ่งเราต้องรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มนี้ให้ดีที่สุด
แล้วเราจะรักษาความสัมพันธ์ที่ดี กับลูกค้าที่ทำให้เราใจเต้น ได้อย่างไร ?
ก็ต้องบอกว่า การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า ให้อยู่กับเราไปนาน ๆ เราต้องเทกแคร์ลูกค้าคนนั้น ๆ ให้เหมือนเทกแคร์แฟน
คำว่าแฟนในที่นี้ก็คือ ผู้ที่นิยมชมชอบเราในฐานะเซลส์ หรือก็คือ “แฟนคลับ” ของเรา
โจทย์สำคัญคือ เราจะเข้าหาลูกค้าอย่างไร ให้ลูกค้ากลายมาเป็นแฟนคลับ ?
เคล็ดลับสำคัญ คือ การเอาใจใส่เรื่อง “พฤติกรรม และนิสัยเฉพาะตัว”
นักขายหลายคนอาจเข้าใจว่า เวลาจะเข้าหาลูกค้า เราจะต้องเอาใจใส่กับคุณลักษณะต่าง ๆ
ที่จำเป็นของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น เพศ ช่วงอายุ อาชีพ หรือเงินเดือน
ที่จำเป็นของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น เพศ ช่วงอายุ อาชีพ หรือเงินเดือน
แต่นักขายที่ดี จะต้องมองลูกค้าด้วยการเอาใจใส่ กับพฤติกรรม และนิสัยเฉพาะตัวของลูกค้าที่ลึกลงไปกว่านั้น ซึ่งในฐานะคนขาย มีเพียงแค่เราเท่านั้นที่รู้
ตัวอย่างเช่น
-ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเป็นแบบไหน
ชอบตระเวนกิน เที่ยว หรือชอบออกไปผจญภัย เล่นกีฬา
ชอบตระเวนกิน เที่ยว หรือชอบออกไปผจญภัย เล่นกีฬา
-เวลาส่วนใหญ่ทุ่มเทไปกับอะไร
ทุ่มเทให้กับครอบครัว หรืองานอดิเรกที่ลูกค้าชอบ
ทุ่มเทให้กับครอบครัว หรืองานอดิเรกที่ลูกค้าชอบ
-นิสัยของเขาดูเป็นคนอย่างไร
เป็นคนอัธยาศัยดี หรือเป็นคนที่อบอุ่นเวลาอยู่กับครอบครัว
เป็นคนอัธยาศัยดี หรือเป็นคนที่อบอุ่นเวลาอยู่กับครอบครัว
ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่สามารถรู้รายละเอียดเหล่านี้ได้ทั้งหมด จากการเจอหน้าลูกค้าเพียงครั้งเดียว
แต่เรารับรู้ได้ จากการเข้าพบปะกับลูกค้าบ่อย ๆ และหัดเอาใจใส่และสังเกตลูกค้าบ่อย ๆ
แต่เรารับรู้ได้ จากการเข้าพบปะกับลูกค้าบ่อย ๆ และหัดเอาใจใส่และสังเกตลูกค้าบ่อย ๆ
ทีนี้ก็มาถึงคำถามข้อที่ 2 นั่นคือ “ทำไมลูกค้า ต้องเลือกเรา ?”
สำหรับคำถามนี้ สิ่งที่เราต้องตอบให้ได้คือ จุดแข็งของเรา มีอะไรบ้าง
ในหนังสือเล่มนี้ แนะนำให้เราเขียนจุดแข็งของตัวเอง ลงไปทั้ง 4 ข้อ
โดยจุดแข็งทั้ง 4 ข้อนี้ แบ่งออกเป็น
โดยจุดแข็งทั้ง 4 ข้อนี้ แบ่งออกเป็น
ข้อ 1 และข้อ 2 คือจุดแข็งด้านการทำงาน
อย่างเช่น ถ้าเราเป็นตัวแทนขายประกันสุขภาพ
จุดแข็งของเรา ก็เช่น การเป็นคนมีความรู้ เรื่องค่ารักษาพยาบาล
ของโรงพยาบาลเอกชน ในกรุงเทพมหานครทั้งหมด
จุดแข็งของเรา ก็เช่น การเป็นคนมีความรู้ เรื่องค่ารักษาพยาบาล
ของโรงพยาบาลเอกชน ในกรุงเทพมหานครทั้งหมด
หรือถ้าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวางแผนการลงทุนส่วนบุคคล
จุดแข็งของเรา ก็เช่น ช่วยวางแผนเกษียณได้ โดยจัดพอร์ตการลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี
จุดแข็งของเรา ก็เช่น ช่วยวางแผนเกษียณได้ โดยจัดพอร์ตการลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี
ข้อ 3 คือจุดแข็งด้านงานอดิเรก หรือนิสัยใจคอ
อย่างเช่น ชอบออกไปเล่นกีฬา เช่น ตีเทนนิส
หรือเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอยู่ตลอดเวลา
หรือเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอยู่ตลอดเวลา
โดยจุดแข็งด้านนี้ เราสามารถนำไปแนะนำเป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ
ให้กับลูกค้าเป็นการส่วนตัวแบบ Exclusive ได้
ให้กับลูกค้าเป็นการส่วนตัวแบบ Exclusive ได้
ข้อ 4 คือจุดแข็งด้านการดูแลเอาใจใส่ลูกค้า
เช่น ชอบส่งจดหมายของคุณ หรือการทำแบบสอบถามกับลูกค้า
เพื่อติดตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าเรา
เพื่อติดตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้าเรา
หรือชอบเก็บฟีดแบ็กตัวเองจากลูกค้าบ่อย ๆ เพื่อนำมาพัฒนาวิธีการขายให้ดียิ่งขึ้น
และต้องไม่ลืมว่า ทั้ง 4 ข้อที่เราเขียนนี้ จะต้องเป็นจุดแข็งที่ลูกค้าของเรามองเห็นด้วย
ไม่ใช่เขียนลอย ๆ ขึ้นมาเอง
ไม่ใช่เขียนลอย ๆ ขึ้นมาเอง
ซึ่งจุดแข็งทั้งหมดนี้ ก็เป็นจุดแข็งที่แสดงความเป็นตัวเรา ในด้านของงานขายได้ชัดเจน
แล้วเมื่อเรารู้จุดแข็ง และตัวตนของเราแล้ว เราจะต้องสนทนากับลูกค้าอย่างไร เพื่อให้ลูกค้าบอกต่อ ?
แน่นอนว่า เวลาเราเจอลูกค้าใหม่ ๆ สิ่งแรกที่นักขายที่ดีต้องทำคือ
เริ่มแนะนำตัว หลังจากนั้นก็เริ่มพูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไป
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเรากับลูกค้า เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง
เริ่มแนะนำตัว หลังจากนั้นก็เริ่มพูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไป
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเรากับลูกค้า เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง
ส่วนในเรื่องการขาย สิ่งสำคัญเป็นอันดับแรกคือ
การนำเรื่องเล่าและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เราเจอ มาเชื่อมกับสิ่งที่เรากำลังจะขายให้ได้
การนำเรื่องเล่าและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เราเจอ มาเชื่อมกับสิ่งที่เรากำลังจะขายให้ได้
อย่างเช่น ถ้าเรากำลังจะขายประกัน สิ่งที่นักขายไม่ควรลืมคือ
การเล่าเรื่องเชิงประสบการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการขายประกัน
การเล่าเรื่องเชิงประสบการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการขายประกัน
เช่น การดูแลลูกค้าเวลาแอดมิต หรือการเล่าเคสพิเศษของลูกค้าเก่าที่เคยเจอ ให้ลูกค้าคนใหม่ฟัง
การเล่าเรื่องเชิงประสบการณ์แบบนี้ จะสร้างความน่าเชื่อถือ
และชวนให้ผู้ฟังคิดว่า “อยากให้เซลส์คนนี้ มาดูแลกรมธรรม์ของเราจัง”
และชวนให้ผู้ฟังคิดว่า “อยากให้เซลส์คนนี้ มาดูแลกรมธรรม์ของเราจัง”
หลังจากนั้น เรื่องราวที่เราเล่า ก็จะกลายเป็นเรื่องราวที่ลูกค้าบอกต่อ สู่คนรอบ ๆ ตัว
อีกเคล็ดลับหนึ่ง ที่จะทำให้ลูกค้าต้องบอกต่อ ก็คือ
การนำจุดแข็งของเรา ที่เราเขียนมาทั้ง 4 ข้อนั้น มาใช้ประโยชน์
การนำจุดแข็งของเรา ที่เราเขียนมาทั้ง 4 ข้อนั้น มาใช้ประโยชน์
เพราะจุดแข็งเหล่านี้ ก็เป็นจุดแข็งที่ลูกค้าหลาย ๆ คนมองเห็น
ซึ่งเราสามารถเอาจุดแข็งตรงนั้น มาสร้างเป็นจุดขายเฉพาะตัวของเรา ที่ไม่เหมือนใคร
ซึ่งเราสามารถเอาจุดแข็งตรงนั้น มาสร้างเป็นจุดขายเฉพาะตัวของเรา ที่ไม่เหมือนใคร
อย่างเช่น ถ้าเรามีจุดเด่น คือสามารถวางแผนเกษียณได้ โดยจัดพอร์ตการลงทุนให้ได้
การันตีที่ผลตอบแทนได้ราว ๆ 10% ต่อปี
การันตีที่ผลตอบแทนได้ราว ๆ 10% ต่อปี
เมื่อเป็นไปตามเป้าหมายจริง ๆ เราก็จะได้รับความน่าเชื่อถือ
และลูกค้าก็จะกลายเป็นแฟนคลับของเรา จนเอาชื่อของเรานั้น ไปบอกต่อให้กับคนอื่น ๆ นั่นเอง
สรุป Fantree Marketing คือการขาย โดยอาศัยการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
ให้มองลูกค้าเหมือนเป็นเพื่อนเรา แล้วให้เราดึงจุดแข็งของเรา ออกมาใช้ควบคู่ไปกับการขาย
เมื่อลูกค้าชอบ เขาก็จะกลายมาเป็นแฟนคลับ จนสามารถนำผลิตภัณฑ์ที่ขายโดยเราเองนั้น ไปบอกต่อกับคนอื่น ๆ
ถ้ามองง่าย ๆ งานขายก็ถือเป็นการสร้างแบรนด์อย่างหนึ่ง
โดยแบรนด์นั้นก็คือ ตัวเราเอง ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่มีจุดเด่นเฉพาะตัว และไม่เหมือนคนอื่น ๆ
ซึ่งถ้าเราสร้างแบรนด์ของตัวเราเองให้ชัดเจน พร้อมกับเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีให้กับลูกค้า
แน่นอนว่า ลูกค้าคนนั้น จะต้องกลับมาเป็นแฟนคลับของเรา มาซื้อผลิตภัณฑ์ของเราซ้ำ
และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ถ้าลูกค้าเป็นแฟนคลับของเรา ชอบเรา
ก็สามารถไปบอกต่อกับคนอื่นได้อีก
ก็สามารถไปบอกต่อกับคนอื่นได้อีก
เหมือนเป็นการช่วยเราขายต่อไปอีก เป็น 100 เป็น 1,000 คน..
ขอขอบคุณทาง Amarinbooks ที่แนะนำและส่งหนังสือเล่มนี้มาให้ทาง BrandCase
ใครสนใจหนังสือเล่มนี้ หรือหนังสือแนว ๆ นี้ เข้าไปชมและสั่งซื้อกันได้ที่
https://amarinbooks.com/brand/amarin-how-to/
ใครสนใจหนังสือเล่มนี้ หรือหนังสือแนว ๆ นี้ เข้าไปชมและสั่งซื้อกันได้ที่
https://amarinbooks.com/brand/amarin-how-to/