ฟรีสแลนด์คัมพิน่าฉลองก้าวสู่ปีที่ 67 ชูกลยุทธ์ “คุณค่าทางโภชนาการ – ความยั่งยืน” ตอกย้ำที่ 1 แบรนด์นมคุณภาพของคนไทย พร้อมเปิดตัว “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” สูตรใหม่ ครองใจตลาดนมพร้อมดื่มสำหรับเด็ก

ฟรีสแลนด์คัมพิน่าฉลองก้าวสู่ปีที่ 67 ชูกลยุทธ์ “คุณค่าทางโภชนาการ – ความยั่งยืน” ตอกย้ำที่ 1 แบรนด์นมคุณภาพของคนไทย พร้อมเปิดตัว “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” สูตรใหม่ ครองใจตลาดนมพร้อมดื่มสำหรับเด็ก

31 ส.ค. 2023
ฟรีสแลนด์คัมพิน่าฉลองก้าวสู่ปีที่ 67 ชูกลยุทธ์ “คุณค่าทางโภชนาการ – ความยั่งยืน” ตอกย้ำที่ 1 แบรนด์นมคุณภาพของคนไทย พร้อมเปิดตัว “โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369” สูตรใหม่ ครองใจตลาดนมพร้อมดื่มสำหรับเด็ก
บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ในประเทศไทยและอินโดจีน เดินหน้าสู่ปีที่ 67 ด้วยกลยุทธ์ การเข้าถึงโภชนาการที่ดีอย่างยั่งยืนและมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง 
เปิดตัวนมโฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 สูตรใหม่ เติมเต็มโภชนาการ - สารอาหารที่ดีสำหรับเด็กไทย มีความโดดเด่นในด้านสารอาหารที่หลากหลาย ช่วยเสริมพัฒนาการรอบด้านทั้งสมอง ร่างกาย และภูมิคุ้มกัน และยังขยายโอกาสการเข้าถึงโภชนาการที่ดีให้แก่คนในกลุ่มที่มีรายได้ต่ำและกลุ่มเปราะบาง 
ด้วยสินค้าที่มีราคาเข้าถึงได้ กระจายจุดจำหน่ายให้เข้าถึงคนส่วนมากของสังคม และลดช่องว่างสำหรับผู้ที่ไม่มีความสามารถในการเข้าถึง ด้วยการร่วมมือกับมูลนิธิกระจกเงา บริจาคนมพร้อมดื่ม จำนวน 1 ล้านกล่อง ภายใต้โครงการโฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทยปีที่ 3 ซึ่งจะสิ้นสุดในช่วงเดือนกันยายนนี้ 
นายวิภาส ปวโรจน์กิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ฟรีสแลนด์คัมพิน่า ประเทศไทยได้ก้าวสู่ปีที่ 67 ซึ่งนับเป็นอีกวาระสำคัญของธุรกิจที่ได้ผลิตและส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพให้กับคนไทยมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 
โดยในปีนี้บริษัทได้มุ่งดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เพื่อขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตตามนโยบายของสหประชาชาติ ด้วยการนำ “ความยั่งยืน และการเข้าถึงโภชนาการที่ดี” มาเป็นกลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจและรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการทำงาน 4 มิติคือ 
1. พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้นเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด (better product)
2.การทำการสื่อสารอย่างมีความรับผิดชอบ (responsible communications) 
3.สนับสนุนให้ผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพที่ดี (lifestyle education) 
4.กระจายการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ (broadening access to nutrition) 
นอกจากแนวทางดังกล่าว บริษัทยังมีการพัฒนาหลากหลายโครงการ – กิจกรรมเพื่อส่งต่อประโยชน์ในเชิงสาธารณะ โดยเฉพาะกับโครงการล่าสุดอย่าง “โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทยปีที่ 3” ที่ดึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งจากพาร์ทเนอร์หลักมูลนิธิกระจกเงา พารท์เนอร์ทางธุรกิจ ร้านค้า และผู้บริโภค ที่ร่วมสนับสนุนการส่งมอบนมจำนวน 1,000,000 กล่อง ให้แก่เด็กและครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่อง
โดยการดำเนินโครงการในปีที่ 1 และปีที่ 2 มีการส่งมอบนมเป็นจำนวน 2 ล้านกล่องให้กับเด็กและครอบครัวเปราะบางทั่วประเทศมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ยังคงตั้งเป้าส่งมอบนมให้ได้จำนวน 1 ล้านกล่องด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งโครงการจะสิ้นสุดในวันที่ 8 กันยายน 2566 นี้ 
นายวิภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้การก้าวสู่ปีที่ 67 เติบโตอย่างยั่งยืน ฟรีสแลนด์คัมพิน่า ประเทศไทยยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น นายสัตวแพทย์ ไค๊ส์ เตอนิสเซิ่น อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายเกษตร สถานเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย กรมปศุสัตว์ แพทย์หญิงวิสารัตน์ ธีระโกเมน รองผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
และมูลนิธิกระจกเงา ที่ได้มาร่วมให้แนวทางการยกระดับผลิตภัณฑ์ และการผลักดันโภชนาการของไทยให้ก้าวสู่ทิศทางที่ดีขึ้น รวมถึงการสร้างความมั่นคงให้กับหนึ่งในอาหารหลักของคนทั่วโลกอย่าง “นม” ให้มีมูลค่าในเชิงพาณิชย์และคุณค่าต่อผู้บริโภคในอนาคต
ด้าน นางสาวสุภสิตา ไกรศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์โฟร์โมสต์นับเป็นแบรนด์ที่มีบทบาทขับเคลื่อนการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้กับคนไทยและคนทั่วโลก และยังเป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่ได้รับความไว้วางใจทั้งในมิติของนมคุณภาพที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ความใกล้ชิดกับกลุ่มผู้บริโภค – ธุรกิจอาหาร 
รวมทั้งยอดขายที่ยังคงอยู่ในแถวหน้าของตลาดที่ไม่ว่าจะเป็นนมพร้อมดื่ม ผลิตภัณฑ์สำหรับอาหาร เครื่องดื่ม และเบเกอรี่ โดยกลุ่มสินค้าหลักที่สร้างรายได้ยังคงเป็นนมพร้อมดื่ม UHT สำหรับเด็ก โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 ที่ในปีที่ผ่านมายังคงครองตำแหน่งผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาด 41 %    
โดยที่ผ่านมาสิ่งที่โฟร์โมสต์ให้ความสำคัญคือ การนำผลวิจัยและภาวะทางสุขภาพ รวมถึงภาวะทางโภชนาการของเด็กไทยมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะจากผลสำรวจจากโครงการสำรวจภาวะโภชนาการเด็กในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ SEANUTS ครั้งที่ 2 เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีสารอาหารที่ตรงกับความต้องการของเด็กไทยอย่างครอบคลุม
ล่าสุดยังได้ตอกย้ำความไว้วางใจนมพร้อมดื่มสำหรับเด็ก ด้วยการปรับปรุงสูตรใหม่ นมโฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 ซึ่งเป็นสูตรที่ขายดีที่สุดมาตลอด 7 ปี พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบโจทย์ด้านโภชนาการตามความต้องการของเด็กไทย อุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลาย - ใยอาหาร ช่วยเสริมพัฒนาการรอบด้านทั้งสมอง ร่างกาย และภูมิคุ้มกัน ช่วยให้เด็กไทยเติบโตได้อย่างฉลาดและแข็งแรง
“โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 นับเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่ม UHT ที่มีอัตราการเติบโตสูง สอดรับกับอานิสงส์ของการดื่มนมและกลุ่มพ่อแม่ กลุ่มครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับการเสริมพัฒนาการของเด็ก ซึ่งที่ผ่านมาทางแบรนด์ได้มีการสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ด้วยการยกระดับให้เป็นนมพร้อมดื่มที่ให้ทั้งรสชาติที่ดี และมีคุณค่าสารอาหารสอดรับกับสิ่งที่ผู้บริโภคที่เป็นเด็กควรจะได้รับ 
ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวเป็นความตั้งใจที่โฟร์โมสต์ ซึ่งอยู่ในตลาดนี้มาอย่างยาวนานต้องการที่จะมอบสินค้าที่ดีที่สุดให้กับพ่อแม่และครอบครัวที่มุ่งสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อย โดยในปัจจุบันนมโฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 มีจำนวนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรวมทั้งสิ้น 10 ชนิด และยังมั่นใจว่าจะครองส่วนแบ่งทางการตลาดนมพร้อมดื่มในปีนี้อยู่ที่ 41 % จากปัจจุบันมีมูลค่าทางการตลาดในปี 2565 กว่า 29,000 ล้านบาท (ที่มา: สถาบันอาหาร)”
นางสาวสุภสิตา กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับผลิตภัณฑ์แล้ว ฟรีสแลนด์คัมพิน่า ประเทศไทย รวมถึงโฟร์โมสต์ยังมีเป้าหมายที่จะอุดช่องว่างภาวะทุพโภชนาการของเด็กไทยในประเด็นที่สำคัญคือ ภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน ความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง การบริโภคอาหารและปริมาณพลังงาน-สารอาหารที่ได้รับในแต่ละวันที่ยังไม่สมดุลโดยเฉพาะในมื้อเช้า และการเพิ่มแคลเซียมให้ถึงเกณฑ์ที่แนะนำ
รศ.ดร.นิภา โรจน์รุ่งวศินกุล ที่ปรึกษาสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และหัวหน้าโครงการ SEANUTS II ของประเทศไทย เปิดเผยว่า สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล มุ่งบทบาทการส่งเสริมโภชนาการที่ดีเพื่อประชาชน ด้วยการใช้ความรู้/ความชำนาญด้านอาหารและโภชนาการ การมีองค์ความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านอาหารและโภชนาการที่ทันสมัย 
มีการส่งต่อความรู้/ข้อมูลให้กับภาครัฐ – ธุรกิจ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การวางแผนแก้ปัญหาต่าง ๆ ของภาครัฐ การผลิตและการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ของภาคธุรกิจ ให้สอดรับกับพฤติกรรมบริโภค และปัจจัยอื่น ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง 
โดยฟรีสแลนด์คัมพิน่า ประเทศไทย รวมถึงโฟร์โมสต์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้มีโอกาสนำข้อมูลจากผลงานวิจัย SEANUTS II ไปใช้ในทางธุรกิจ นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้เด็กไทยได้บริโภคนมที่มีคุณภาพ มีคุณค่าสารอาหารที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละช่วงวัย “กลุ่มเด็กเป็นกลุ่มเปราะบางที่น่าเป็นห่วงทางด้านโภชนาการ
ซึ่งจากผลสำรวจเด็กไทย (SEANUTS II) พบว่าเด็กไทยยังมีปัญหาภาวะทุพโภชนาการ มีภาวะโภชนาการทางด้านขาด อาทิ ภาวะเตี้ยแคระเกร็น ภาวะโภชนาการเกิน ได้แก่ ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน รวมทั้งการขาดสารอาหาร micronutrients โดยมากกว่า 70% ของเด็กที่อายุ 6 เดือน – 12 ปี ยังได้รับแคลเซียมไม่ถึงเกณฑ์ที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน 
ตัวเลขจากผลสำรวจนี้เป็นภาพสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาโภชนาการ รวมถึงการเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย และมีสารอาหารสำคัญที่จำเป็นและเพียงพอต่อความต้องการของเด็ก อย่างไรก็ตามจากการส่งเสริมการดื่มนมของทุกภาคส่วนที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้เห็นถึงการส่งเสริมการได้รับสารอาหารที่จำเป็นเพื่อโภชนาการที่ดีของเด็กต่อไป”
ด้านนางสาววีราภรณ์ ประสบรัตนสุข หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรและระดมทุน มูลนิธิกระจกเงา ให้ข้อมูลว่า เพื่อลดอุปสรรคของเด็กไทย และครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ยังไม่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ มูลนิธิกระจกเงาในฐานะองค์กรไม่แสวงกำไรและช่วยเหลือให้ผู้คนเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็น จึงมุ่งเป็นช่องทางที่จะกระจายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์จำนวน 1,000,000 กล่องไปถึงมือเด็กๆ และครอบครัวกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศ ภายใต้โครงการ “โฟร์โมสต์ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทยปีที่ 3”
โดยมูลนิธิมีเจ้าหน้าที่ที่มีความใกล้ชิด และความสามารถในการเข้าถึงชุมชนต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งหลังจากช่วงเดือนกันยายนนมทุกลังจะส่งถึงมือเด็กและครอบครัวในพื้นที่ต่าง ๆ  ที่ได้รับผลกระทบหลากหลายพื้นที่ตามจำนวนที่โครงการได้ตั้งเอาไว้  
“มูลนิธิกระจกเงา พร้อมที่จะเป็นอีกภาคส่วนที่สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเจตนารมณ์โลก ซึ่งการเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัย การขจัดความหิวโหยถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องได้รับ และสิ่งเหล่านี้จะประสบความสำเร็จได้จะต้องมาจากทั้งการแบ่งปัน การพัฒนาแหล่งผลิตอาหารให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงความร่วมมือในลักษณะเครือข่ายและนโยบายการจัดสรรที่ดี โดยมูลนิธิฯ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้อาสาและสานต่อประเด็นเหล่านี้ให้กับทุกภาคส่วน -  ทุกองค์กรเพื่ออุดช่องว่างให้กับสังคม”
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.