AI จะช่วยเราทำงาน หรือจะแย่งงาน เราจนหมด ?

AI จะช่วยเราทำงาน หรือจะแย่งงาน เราจนหมด ?

26 เม.ย. 2023
AI จะช่วยเราทำงาน หรือจะแย่งงาน เราจนหมด ? | BrandCase
ตอนที่เครื่องจักรเริ่มเข้ามามีบทบาทในภาคอุตสาหกรรม
ก็มีคนบอกว่า “เครื่องจักร จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์”
แม้เครื่องจักร จะเข้ามาทดแทนงานในบางส่วนของมนุษย์ไปบ้าง โดยเฉพาะงานที่อันตราย หรือจำเจ
แต่วันนี้ในภาพรวม ทั้งคนและเครื่องจักร ก็ยังทำงานร่วมกันได้ดี
แถม Productivity โดยรวมของโลก ยังดีขึ้นกว่าเดิมมาก
เช่นเดียวกับตอนที่คอมพิวเตอร์เกิดขึ้นมา ที่หลายคนกังวลว่าบางอาชีพจะตกงาน
แต่ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์ กลับกลายเป็นสิ่งที่ทุกสายงานขาดไปไม่ได้
และวันนี้การมาของ ChatGPT ที่เก่งจนสามารถสอบใบอนุญาตแพทย์ผ่าน
แถมยังสามารถเขียนโคดที่มีความซับซ้อนได้ อย่างกับหลุดมาจากภาพยนตร์
ก็กำลังทำให้มนุษยชาติ กลับมาตั้งคำถามเดียวกันอีกครั้งว่า AI จะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์หรือเปล่า ?
BrandCase ชวนทุกคนมาลองวิเคราะห์กัน
คำตอบของเรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน
แม้แต่กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อโลก ก็ยังมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ตรงกัน
บิลล์ เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft บอกว่า AI จะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้
อีลอน มัสก์ เจ้าของ Tesla บอกว่า AI คือความเสี่ยงของมนุษยชาติ และน่ากลัวไม่แพ้อาวุธนิวเคลียร์..
อย่างไรก็ตาม มันก็มีมุมมองที่น่าสนใจว่า จริง ๆ แล้ว AI จะไม่ได้เข้ามาแย่งงานของมนุษย์ไปทั้งหมด
แต่จะทำให้มนุษย์ทำงานได้มากกว่า และสร้างสรรค์กว่าเดิม ซึ่งส่งผลดีกว่าในระยะยาวด้วยซ้ำ
-เริ่มจากคำถามที่ว่า AI จะสามารถทำงานแทนคนได้จริง ๆ ไหม
คำตอบคือ “จริง” แต่อาจจะยังไม่ใช่ 100%
ที่ใช้คำว่า อาจจะ เพราะ AI ในตอนนี้ ยังไม่มีความรู้สึกหรือความฉลาดทางอารมณ์ มากพอที่จะตัดสินใจเรื่องบางเรื่อง ได้ดีไปกว่ามนุษย์
โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องใช้ดุลยพินิจ, เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์, การสื่อสารและการบริหารคน หรือมีข้อมูลสำหรับการตัดสินใจน้อย
เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยประสบการณ์, ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และยังมีเรื่องของบริบททางสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องอีก
ทำให้ AI จะเข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์ข้อมูล และช่วยให้ผู้ใช้งานตัดสินใจได้ดีขึ้น มากกว่าที่จะไปตัดสินใจแทนผู้ใช้งาน
เหมือนกับที่คุณซุนดาร์ พิชัย CEO ของบริษัท Alphabet (Google)
เคยบอกเอาไว้ว่า ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า
AI จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหมอ ในการบอกขั้นตอนการผ่าตัด เพื่อให้การรักษามีความแม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
แต่จะไม่สามารถทดแทนหมอจริง ๆ ได้ทั้งหมด
อีกอย่างคือ เรื่องของ “ความคิดสร้างสรรค์” ที่มนุษย์ จะทำได้ดีกว่า AI
เหตุผลคือ AI ประมวลผลโดยอาศัยข้อมูลที่มนุษย์เป็นคนใส่เข้าไป หรือประมวลผลจากฐานข้อมูล และมีเป้าหมายที่ชัดเจน ว่าถูกสร้างมาเพื่อทำอะไร
ดังนั้นความคิดของ AI จะค่อนข้างอยู่ในกรอบ ผิดกับมนุษย์ที่สามารถนำประสบการณ์
และการระดมสมอง มาสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ได้นอกกรอบมากกว่า AI
สรุปคือ AI จะเข้ามาช่วยให้กระบวนการทำงานหลาย ๆ อย่างถูกตัดออกไป
และทำให้คนหนึ่งคน สามารถผลิตงานได้มากขึ้น
แต่ก็ยังมีหลายอย่าง ที่ AI ยังไม่สามารถทำแทนมนุษย์ได้ในตอนนี้
พอเป็นแบบนี้ หลายบริษัทที่นำ AI มาประยุกต์ใช้ได้ ก็อาจจะต้องพิจารณาตัดตำแหน่งงานที่ AI สามารถทำแทนได้ ออกไปก่อน
เช่น พนักงานคีย์ข้อมูล, Admin หรืออีกหลายงานที่จำเจ น่าเบื่อ ไม่ต้องใช้การตัดสินใจที่ซับซ้อน
ซึ่งจริง ๆ มันก็อาจไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เพราะในทางกลับกัน AI ก็จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ ๆ ขึ้นมาทดแทนด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้นถ้า AI กลายเป็นสิ่งที่ใครก็ใช้กันไม่ต่างจากไฟฟ้า
อาชีพเกี่ยวกับ AI เช่น นักพัฒนา, ผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์ หรือข้อมูลที่ AI เอาไว้ใช้ประมวลผล ก็จะเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นตามไปด้วย
โดยข้อมูลจาก World Economic Forum ยังบอกอีกว่า ภายในปี 2025
AI จะทำให้ตำแหน่งงานกว่า 85 ล้านตำแหน่งหายไป แต่จะสร้างตำแหน่งงานขึ้นมาใหม่ ถึง 97 ล้านตำแหน่งเลยทีเดียว
ถ้าเราดูดี ๆ สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่อดีต เช่น การมาของเครื่องจักรและหุ่นยนต์ ในโรงงานอุตสาหกรรม
ที่ทำให้ภาคการผลิต ใช้พนักงานประกอบชิ้นส่วนบางส่วนน้อยลงไปเยอะ บางโรงงานแทบจะไม่ใช้พนักงานมาช่วยผลิตแล้วด้วยซ้ำ
แต่หุ่นยนต์เหล่านี้ ก็สร้างตำแหน่งงานใหม่ ๆ เช่น วิศวกรซ่อมบำรุง, ช่างเทคนิค หรือคนดูแลเครื่องจักร เพิ่มขึ้นมาทดแทนเหมือนกัน
ซึ่งเรื่องนี้ ก็อาจจะส่งผลดีกับโลกในระยะยาวมากกว่า
โดยเฉพาะในแง่การเติบโตของ GDP ที่จะเอาตัวเลขของการผลิตสินค้าและบริการ รวมไปถึง
การบริโภคภายในประเทศมาคำนวณ เพื่อบอกว่าเศรษฐกิจของประเทศแข็งแกร่งขนาดไหน
AI จะเข้ามาช่วยให้ประชากรต่อคน สามารถผลิตงานให้กับประเทศได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับการเติบโตของประเทศ
ส่วนงานที่ถูก​ AI เข้ามาแทนที่ คนที่ได้รับผลกระทบ ก็จะมีโอกาสไปทำงานอื่น ๆ ที่สร้างคุณค่าให้กับประเทศมากกว่านั่นเอง..
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า วันหนึ่ง พนักงานคีย์ข้อมูล ถูกแทนที่ด้วย AI ไปแล้ว
พนักงานตรงนั้น ก็มีโอกาสที่จะไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์กับสังคมมากกว่า
โดยอาจจะใช้ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ตัวเองได้ในงานถัดไปนั่นเอง
และเชื่อหรือไม่ว่า มีการคาดการณ์ว่า ถ้า AI สามารถเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนได้จริง ๆ
จะทำให้ GDP โดยรวมของทั้งโลกนั้น สูงขึ้นถึง 7% เลยทีเดียว
สุดท้าย การมาของ AI ก็ไม่ต่างจากการมาของนวัตกรรมใหม่ ๆ
ที่เคยเปลี่ยนโลกไปในทางที่ดีขึ้นแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
ซึ่งการปรากฏขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะมาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนไปตลอดกาล
ก็มักมีจุดเริ่มต้น ที่ถูกผู้คนมองเทคโนโลยีนั้น ๆ ในแง่ลบเพียงอย่างเดียว และกลัวว่ามันจะมาแย่งอาชีพของมนุษย์ไป เช่นเดียวกัน
ดังนั้นในเมื่อกระแสของ AI มันจุดติดแล้ว และก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่า ใครบ้างที่จะได้รับผลกระทบ และใครบ้างที่จะได้ประโยชน์
หรือว่ามันจะทำอะไรแทนคนได้ 100% หรือไม่ 100%
แต่สิ่งที่ทำได้ไปก่อนตอนนี้
คือการเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์
เหมือนกับที่คุณสัตยา นาเดลลา CEO ของ Microsoft เคยบอกเอาไว้ว่า
“การวิ่งหนี AI นั่นแหละ คือปัญหาที่แท้จริง”
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.