TOYOTA HILUX สู้แค่ไหน เพื่อเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรถกระบะ ?

TOYOTA HILUX สู้แค่ไหน เพื่อเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรถกระบะ ?

8 พ.ย. 2022
TOYOTA HILUX สู้แค่ไหน เพื่อเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรถกระบะ ? | BrandCase
หากพูดถึงรถกระบะ TOYOTA รุ่นก่อน ๆ ที่เราคุ้นเคย
ก็คงหนีไม่พ้นรุ่น TIGER, VIGO จนสุดท้ายได้เปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น REVO
ซึ่งเป็นเวลา 20 กว่าปีที่ TOYOTA พยายามแข่งกับ ISUZU เพื่อเป็นเจ้าตลาดรถกระบะอันดับ 1 ของไทย
แต่รู้หรือไม่ว่า แบรนด์รถกระบะ TOYOTA HILUX นั้น ได้ทำตลาดรถกระบะทั่วโลก มาเป็นเวลา 50 กว่าปีแล้ว
จุดเริ่มต้น และการเดินทางของรถกระบะ TOYOTA HILUX เป็นอย่างไร ?
BrandCase จะสรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ
ในยุคแรก ๆ TOYOTA จะเน้นการพัฒนา และผลิตรถเก๋งเป็นหลัก จนได้ผลตอบรับที่ดี
ซึ่งในปี 1947 ทาง TOYOTA ได้ผลิตรถยนต์ขนาดเล็กขึ้นมา ภายใต้ชื่อใหม่ว่า TOYOPET
และได้หันมาเริ่มพัฒนารถกระบะอย่างจริงจัง เริ่มต้นด้วยรุ่น TOYOPET SB และรุ่น TOYOPET SJ
และด้วยความที่รถกระบะทั้ง 2 รุ่นนี้ มีท้ายกระบะที่ใหญ่ เมื่อเทียบกับห้องโดยสาร
แถมยังขับยาก จึงทำให้ได้ผลตอบรับที่ไม่ค่อยดีนัก
ดังนั้น TOYOTA จึงมีความตั้งใจ ที่จะทำรถกระบะให้มีขนาดเล็ก ราคาถูก และเหมาะสำหรับคนทั่วไป
จึงได้เริ่มต้นผลิตรถยนต์รุ่น TOYOPET RK รุ่นแรก และได้เปิดตัวในปี 1954
และ TOYOTA ก็ได้พัฒนารถกระบะในซีรีส์ RK มาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งในปี 1963 ทาง TOYOTA ก็ได้พัฒนารถกระบะในชื่อรุ่นว่า RK40
ซึ่งนิยมเรียกกันว่า Light Stout โดยได้เปิดตัวในปี 1963
ด้วยตัวรถกระบะที่มีขนาดกะทัดรัด และสามารถนั่งได้สบาย
ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน จึงได้ทำการผลิตรถยนต์รุ่นนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตาม TOYOTA ก็ต้องเจอกับคู่แข่งรายใหญ่อย่าง DATSUN ซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของ NISSAN ที่ทำรถกระบะขนาดเล็กออกมาแข่ง และเป็นที่นิยมอย่างมากในเวลานั้น
จนมาในปี 1966 TOYOTA ก็ได้ควบรวมกิจการกับ HINO เป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน
และในที่สุด ปี 2001 ก็ได้ Take Over บริษัท HINO ให้มาอยู่ในเครือของ TOYOTA Motor Corporation
แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจาก TOYOTA ได้ควบรวมกิจการกับ บริษัท HINO ไปแล้วในปี 1966 ?
HINO ทำสัญญากับ TOYOTA ว่าจะหยุดการผลิตรถกระบะ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล โดยจะหันไปผลิตรถบัส และรถบรรทุกขนาดใหญ่แทน
ทำให้ทุกวันนี้ เราจึงเห็นรถบัส และรถบรรทุกของ HINO อยู่บ่อยครั้ง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ซึ่งกันและกัน..
-HINO จะได้รับองค์ความรู้ เกี่ยวกับการบริหารการผลิต และการทำ Kaizen จากทาง TOYOTA
เพื่อให้สามารถลดต้นทุนในการผลิต และเพิ่มอัตรากำไรได้
-TOYOTA ก็จะได้รับองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำรถกระบะจาก HINO
โดย TOYOTA ได้นำเอารถกระบะของ HINO รุ่น BRISKA มาเป็นรถกระบะต้นแบบในการพัฒนา
พร้อมทั้งปรับโฉมใหม่ให้เป็นสไตล์ TOYOTA และได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น TOYOTA BRISKA
ที่สำคัญคือ TOYOTA ร่วมมือกับ HINO เพื่อพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่
โดยใช้ TOYOTA BRIKSA เป็นต้นแบบ โดยการปรับส่วนข้างใน ให้มีความหรูหราเหมือนรถเก๋ง
และใช้ชื่อใหม่ว่า “HILUX” ซึ่งเป็นชื่อที่ย่อมาจากคำว่า Highly Luxurious
แล้วการพัฒนา TOYOTA HILUX เพื่อเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรถกระบะ ก็เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง
รู้หรือไม่ว่า รถกระบะ HILUX รุ่นแรก ได้เปิดตัวในปี 1968 ชื่อรุ่นว่า TOYOTA Hilux N10
โดยเริ่มแรกเป็นเพียงแค่รถกระบะฐานสั้น และมี 2 ประตูเท่านั้น โดยเริ่มแรกยังใช้โรงงานของ HINO เป็นฐานการผลิต
จากนั้นก็มีการพัฒนารถกระบะ HILUX ในแต่ละรุ่นอย่างต่อเนื่อง คือ
-ปี 1972 ปรับโฉมรถกระบะใหม่ เป็นรถกระบะฐานสั้น แล้วเปิดตัวรถกระบะรุ่น Hilux N20, N25 เป็นรุ่นที่ 2
-ปี 1978 เปิดตัวรุ่น Hilux N30 และ N40 ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 รุ่นนี้มีชื่อเรียกในไทยว่า “ม้ากระโดด”
ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เริ่มมีการพัฒนารถกระบะ 4 ประตู และยังเป็นรุ่นแรก ที่ TOYOTA เริ่มมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองที่ประเทศญี่ปุ่น
-ปี 1983 เปิดตัว Toyota Hilux Hero หรือมีชื่อเรียกในไทยว่า “เฮอร์คิวลิส”
ซึ่งเป็นรุ่นแรกที่มีการนำห้องโดยสารแบบ XTracab เพิ่มเข้ามา หรือที่เรียกกันว่า รถกระบะแบบตอนครึ่งนั่นเอง
-ปี 1988 TOYOTA ได้เปิดตัว Toyota Hilux Mighty-X ที่มีการปรับปรุงตัวถังใหม่ เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังให้สะดวกสบายมากขึ้น
และยังเป็นรุ่นแรกที่มีการผลิตที่ประเทศไทยอย่างเต็มตัว ที่โรงงานโตโยต้า สำโรงใต้ จังหวัดสมุทรปราการ
โดย Toyota Hilux Mighty-X โฉมนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และมียอดขายถล่มทลาย
ทำให้ในปี 1992 ที่ TOYOTA ประเทศไทย มียอดขายรถกระบะถึง 500,000 คัน
-ปี 1997 TOYOTA ได้เปิดตัว Toyota Hilux Tiger เป็นรุ่นที่ 6
ทำให้โรงงานโตโยต้าในประเทศไทย ได้มีบทบาทในตลาดโลกมากขึ้น ด้วยการเป็นฐานส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
สำหรับรถกระบะโฉมนี้ ยังมีเครื่องยนต์ดีเซลที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึง 3 ลิตร
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ขึ้น แต่ก็กลับไม่เป็นที่พึงพอใจของผู้ใช้งานมากนัก
เนื่องจาก เครื่องยนต์ของ Tiger นั้น ยังไม่แรงเท่าที่คิด แถมยังกินน้ำมันมากเกินไป
จึงทำให้หลัง ปี 2000 TOYOTA จึงได้เริ่มนำเครื่องยนต์ที่มีเทคโนโลยี Direct Injection มาใช้
ซึ่งก็คือ เครื่องยนต์เชื้อเพลิง ฉีดเข้าห้องเผาไหม้โดยตรง บริเวณระหว่างฝาสูบกับหัวลูกสูบ โดยจะแตกต่างจากเครื่องยนต์แบบเก่า ที่หัวฉีดใช้น้ำมันผสมกับอากาศในห้องเผาไหม้
จึงทำให้เครื่องยนต์แบบ Direct Injection มีประสิทธิภาพ และประหยัดน้ำมันมากกว่า
ซึ่งทาง TOYOTA ก็ได้พัฒนาเครื่องยนต์ดีเซล Direct Injection หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า D4D Common Rail
โดยมีขนาดเครื่องยนต์ให้เลือกขนาด 2.5 ลิตร และ 3.0 ลิตร เทอร์โบ
เพื่อให้รถกระบะมีสมรรถนะสูง เทียบเท่ากับรถเก๋ง
อย่างไรก็ตาม Hilux Tiger กลับไม่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายมากนัก และยังพ่ายแพ้ให้กับรถกระบะเจ้าดังอย่าง ISUZU ที่ขึ้นชื่ออย่างมาก ในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน
-ปี 2004 TOYOTA ได้เปิดตัว Toyota Hilux Vigo ซึ่งเป็นรุ่นที่ 7
โดย VIGO มาจากคำว่า Vigorous ที่แปลว่า แข็งแกร่ง
ซึ่งเครื่องยนต์ของ Toyota Hilux Vigo ได้ผลิตออกมา เพื่อช่วยในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน
และออกแบบเครื่องยนต์เอาไว้เป็นตัวเลือก สำหรับคนที่ต้องการติดแก๊ส
ที่สำคัญ TOYOTA HILUX โฉม VIGO ถือเป็นครั้งแรก ที่มียอดขายแซงหน้า ISUZU จนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 และได้ครองแชมป์มายาวนานถึง 9 ปีซ้อน อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีฐานการผลิตหลักที่ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา
ซึ่งทาง TOYOTA ก็ได้ย้ายฐานการผลิตรถกระบะขนาดมาตรฐาน 1 คัน มาผลิตที่ประเทศไทยทั้งหมด
-ปี 2015 TOYOTA ก็ได้มีการปรับโฉมรถยนต์ให้แตกต่างจากเดิม
เพื่อปรับภาพลักษณ์ของรถกระบะ ให้เป็นเหมือนรถโดยสารส่วนบุคคล ถูกใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น
โดยใช้ชื่อรุ่นใหม่ว่า Toyota Hilux Revo ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ 8 ของ TOYOTA
ซึ่ง REVO ก็มาจากคำว่า Revolution ที่แปลว่า การเปลี่ยนแปลง นั่นเอง
ซึ่งการเปลี่ยนโฉมของรถกระบะในครั้งนี้ ก็ได้มีการอัปเกรด รถยนต์จากโฉมเดิม เช่น
-การลดระดับเสียงของเครื่องยนต์
-การลดขนาดเครื่องยนต์จาก 3 ลิตร เป็น 2.8 ลิตร แต่เพิ่มกำลังให้มีแรงม้ามากขึ้น
และความพิเศษของโฉมนี้ก็คือ รุ่น Revo Z Edition ที่สามารถแต่งรถในแบบที่ตัวเองชื่นชอบได้ เอาใจวัยรุ่น ที่ชอบอะไรที่แปลกใหม่..
อ่านมาถึงตรงนี้ สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ
การทำให้รถกระบะ TOYOTA มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของไทย ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย
ทั้งการพัฒนาและการปรับโฉมรถกระบะใหม่, ห้องโดยสาร, เครื่องยนต์ ฯลฯ
ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รถกระบะ TOYOTA เป็นทั้งผู้นำยอดขาย และผู้ตาม สลับไป สลับมาอยู่บ่อย ๆ
โดยล่าสุด TOYOTA ได้ปล่อยรถกระบะโฉมใหม่ในชื่อ REVO โดยตั้งใจว่าจะให้สื่อถึง การปฏิวัติ เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นดิไซน์ของตัวรถ ความแรง และความทนทานของรถยนต์
แต่ในทางกลับกัน ผลตอบรับของ VIGO ก็ยังคงได้รับความนิยมมากกว่า
และก็ยังพ่ายแพ้ให้กับ ISUZU D-MAX ที่ปัจจุบัน ยังคงเป็นรถกระบะอันดับ 1 ขวัญใจคนไทย
ซึ่งเราก็จะเห็นได้จาก ยอดขายรถกระบะในประเทศไทย ในครึ่งปีแรกของปี 2022
อันดับ 1 ISUZU มียอดขาย 101,439 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 44.5%
อันดับ 2 TOYOTA มียอดขาย 89,232 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 39.2%
มาถึงตรงนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าในอนาคต TOYOTA จะทำรถกระบะแบบไหนออกสู่สายตาคนไทย
และจะงัดกลยุทธ์ไหนออกมาใช้
เพื่อครองบัลลังก์รถกระบะอันดับ 1 ในใจคนไทยให้ได้ ในที่สุด..
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.