3 สิ่งที่วัยทำงานต้องรู้ ก่อนจะซื้อประกันสุขภาพ

3 สิ่งที่วัยทำงานต้องรู้ ก่อนจะซื้อประกันสุขภาพ

2 พ.ย. 2021
3 สิ่งที่วัยทำงานต้องรู้ ก่อนจะซื้อประกันสุขภาพ | THE BRIEFCASE
พอก้าวเข้าสู่วัยทำงาน นอกจากฐานเงินเดือน หรือเนื้องานที่เราต้องใส่ใจแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรจะพิจารณาก็คือ สวัสดิการที่บริษัทมีให้ เช่น ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ
อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ คนก็คิดว่าส่วนที่บริษัทมีให้อาจไม่เพียงพอ
เพราะกลัวว่าเมื่อเจ็บป่วยแต่ละที ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น อาจทำให้เราเป็นลมหน้ามืดเอาง่าย ๆ
ดังนั้น การซื้อประกันสุขภาพ จึงเป็นเหมือนการลดความเสี่ยงที่จะต้องเสียเงินก้อนโตในการรักษาตัว
แต่เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าประกันสุขภาพแบบไหน เหมาะกับตัวเรา
และก่อนจะซื้อประกันสุขภาพ ควรดูอะไรบ้าง ?
1. เบี้ยประกัน เป็นสัดส่วนพอเหมาะกับรายได้
โดยเบี้ยประกันคือ เงินที่เราจ่ายให้กับบริษัทประกัน เพื่อแลกกับความคุ้มครองจากบริษัทประกัน หรือผลประโยชน์อื่น ๆ ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์
ซึ่งเบี้ยประกันสุขภาพที่เหมาะสมควรจ่ายไม่เกิน 10-15% ของรายได้รวมทั้งปี
เช่น ถ้าเรามีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 20,000 บาท เราก็จะมีรายได้รวมทั้งปีเท่ากับ 240,000 บาท
ดังนั้น เบี้ยประกันที่เหมาะกับเราจะอยู่ที่ราว ๆ 24,000-36,000 บาทต่อปี
สาเหตุที่เราควรเลือกเบี้ยประกันไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปี ก็เป็นเพราะว่า
สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนอ็อปชันเสริมให้เราอุ่นใจว่า เราจะไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
พูดง่าย ๆ ว่า การทำประกันสุขภาพ จะช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินของเรา หากเราเจ็บป่วยร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราต้องจ่ายเบี้ยประกันในสัดส่วนที่มากเกินไป
ก็มีสิทธิ์ที่ประกันสุขภาพจะไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไป
เพราะอย่าลืมว่า เบี้ยประกันอาจจะปรับขึ้นทุก ๆ ปี อาจกลายมาเป็นค่าใช้จ่ายที่มากเกินตัว ก็เป็นได้
ดังนั้น ก่อนเลือกซื้อประกันสุขภาพ เราควรดูตารางค่าเบี้ยประกันตลอดอายุสัญญา ว่าเหมาะสมกับรายรับเเละค่าใช้จ่ายของเราหรือไม่
2. วงเงินคุ้มครอง ควรจะสูงพอที่เราจะไม่ต้องจ่ายส่วนต่าง
อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่า ประกันสุขภาพ คือ สิ่งที่เราจ่ายเงินไปเพื่อแลกกับความคุ้มครองจากบริษัทประกัน และเป็นการจ่ายเงินเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น หากเราเจ็บป่วย
ซึ่งการเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก
ดังนั้น เราก็ควรจะคิดถึงค่าใช้จ่ายในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดเอาไว้ก่อน
เช่น ถ้าเราเจ็บป่วยสาหัสปางตาย เราจะต้องมีประกันสุขภาพที่มีวงเงินคุ้มครองเท่าไร ถึงจะเพียงพอ
โดยที่เราไม่ต้องควักเงินออกมาจ่ายเองอีก หรือหากเราต้องจ่ายเพิ่มเติม ก็ควรเป็นจำนวนเงินที่เรารับได้
เพื่อไม่ให้ไปกระทบกับการเงินส่วนอื่น ๆ ของเรามากเกินไป
3. เลือกแบบประกัน ที่เหมาะสมกับสุขภาพ และการใช้ชีวิตของเรา
สุขภาพ กรรมพันธุ์ หรือโรคประจำตัว เป็นสิ่งที่บริษัทประกันจะให้ความครอบคลุมต่างกัน
ดังนั้น ก่อนซื้อประกัน เราควรเช็กตัวเองก่อนว่า เรามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอะไร หรือคนในบ้านมีกรรมพันธุ์โรคอะไรบ้าง เช่น ถ้าคนที่บ้านมีกรรมพันธุ์โรคหัวใจ การทำประกันคุ้มครองโรคหัวใจก็จะเป็นสิ่งจำเป็น
หรือถ้าเราใช้ชีวิตในแต่ละวันแบบขาดชานมไข่มุก ชา กาแฟ น้ำหวาน น้ำอัดลมไม่ได้
เราก็ควรจะพิจารณาประกันสุขภาพที่ครอบคลุมโรคเบาหวาน
ซึ่งการที่เราประเมินตัวเองในลักษณะนี้ นอกจากจะเห็นโอกาสของโรคที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตเราแล้ว
ยังทำให้ง่ายต่อการพิจารณาเลือกซื้อแบบประกันสุขภาพที่จะเป็นประโยชน์ต่อเราจริง ๆ ได้
สุดท้ายแล้ว การเลือกซื้อประกันสุขภาพ ก็เป็นเพียงหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวในยามเจ็บป่วยของเราได้
แต่ก็อย่าลืมว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ การดูแลรักษาสุขภาพของเราให้ดี..
ไม่เช่นนั้น แม้ว่าเราจะทำประกันสุขภาพมากเพียงใด แต่ถ้าต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ
ชีวิตก็คงหาความสุขได้ยาก คุณว่าไหม..
References
-https://www.krungsri.com/th/planyourmoney/must-stories/life-plan/health-insurance-advice
-https://www.prosoftibiz.com/Article/Detail/134119
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.